หมีพู
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสาขาความมั่นคงของชาติ บันเทิง และเทคโนโลยีของแนวโน้มโลก
ที่มา : http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสาขาสื่อสารโทรคมนาคมและหน่วยงานราชการ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการสื่อสารและโทรคมนาคม |
การประยุกต์ใช้ในงานประเภทนี้ได้แก่ การบริการโทรศัพท์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี การค้นคืนสารสนเทศระบบออนไลน์ ดาวเทียม และโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล (ISDN) เป็นต้น ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสารข้อมูล และโทรคมนาคมที่น่าสนใจ ได้แก่เทคโนโลยีต่างๆ ดังนี้ ดาวเทียม (Satellite) เป็นสิ่งที่มนุษย์เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น แล้วส่งไปโคจรรอบโลก รอบดาวเคราะห์ต่างๆ ดาวฤกษ์ต่างๆ หรือเพื่อให้ท่องเที่ยวไปในอวกาศและจักรวาลตามวิถีที่ได้มีการกำหนดไว้ก่อน ดาวเทียม จำแนกได้หลายประเภทซึ่งขึ้นกับลักษณะการใช้งานเช่น ดาวเทียมวิทยาศาสตร์ (Scientific Satellite) ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในงานค้นคว้าวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ ดาวเทียมการทหาร (Military Satellite) แบ่งเป็นประเภทย่อยได้ เช่น ดาวเทียมจารกรรม ดาวเทียมเตือนภัยล่วงหน้า ดาวเทียมต่อต้านจรวด และดาวเทียมจู่โจมหรือระดมยิง เป็นต้น ดาวเทียมนำทาง (Navigational Satellite) ดาวเทียมประเภทนี้ใช้ประโยชน์มากในเรือดำน้ำ การวางแผนเส้นทางเดินเรือและเส้นทางการบิน ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรบนผิวโลกและในมหาสมุทร (Earth and Ocean Resources Satellite) มีจุดประสงค์เพื่อใช้ศึกษาธรณีวิทยา พืชพรรณ ตลอดจนมหาสมุทร และดาวเทียมโทรคมนาคม (Telecommunication Satellite) ใช้ในกิจการการสื่อสารในระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ |
ตัวอย่างการนำดาวเทียมมาประยุกต์ใช้ในระบบ GPS เพื่อระบุตำแหน่งพิกัดทางภูมิศาสตร์ อำนวยความสะดวกด้านโทรคมนาคม (www.aso.com, www.pocketpcmaq.com ) |
โครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล (Integrated Service Digital Netwonk- ISDN) ระบบ ISDN หรือที่เรียกว่า Integrated Service Digital Netwonk ซึ่งเป็นระบบที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย นำมาใช้เพื่อให้บริการส่งข้อมูลในลักษณะโครงข่าย ISDN โดยเป็นโครงข่ายโทรคมนคมความเร็วสูงในระบบดิจิทัลที่สามารถส่งทั้งสัญญาณ เสียง และข้อมูลต่างๆ ร่วมไปในสายเส้นเดียวกัน และสามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายโทรศัพท์ในปัจจุบัน (PSTN) รวมทั้งการเชื่อมต่อกับโครงข่ายส่วนบุคคลอื่น (Private Network) เพื่อติดต่อกับผู้ใช้บริการรายอื่นได้ทั่วประเทศ โครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล (Integrated Service Digital Netwonk- ISDN) ระบบ ISDN หรือที่เรียกว่า Integrated Service Digital Netwonk ซึ่งเป็นระบบที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยนำมาใช้เพื่อให้บริการส่งข้อมูลในลักษณะโครงข่าย ISDN โดยเป็นโครงข่ายโทรคมนคมความเร็วสูงในระบบดิจิทัลที่สามารถส่งทั้งสัญญาณ เสียง และข้อมูลต่างๆ ร่วมไปในสายเส้นเดียวกัน และสามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายโทรศัพท์ในปัจจุบัน (PSTN) รวมทั้งการเชื่อมต่อกับโครงข่ายส่วนบุคคลอื่น (Private Network) เพื่อติดต่อกับผู้ใช้บริการรายอื่นได้ทั่วประเทศ เนื่องจากระบบ ISDN เป็นแบบดิจิทัลทั้งหมด ตลอดปลายทาง ไม่ต้องมีการแปลงสัญญาณ ทำให้ความเพี้ยนของสัญญาณมีน้อยมาก ตลอดจนสิ่งรบกวน(Noise) ก็จะลดน้อยลงด้วยทำให้ข้อมูลข่าวสารที่รับส่งในโครงข่าย ISDN มีความถูกต้อง ไว้วางใจได้สูงกว่าระบบเดิม ความเร็วในการรับส่ง 64 Kbps ต่อวงจร ทำให้สามารถรับส่งสัญญาณเสียง ข้อมูล ภาพ ตัวอักษร ในปริมาณมากและรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม สำหรับการบริการของระบบ ISDN ในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นนอกจากการส่งข้อมูลเสียงแล้ว ยังบริการข้อมูลอื่นๆ อีก อาทิ ระบบโทรศัพท์แบบใหม่ซึ่งสามารถแสดงหมายเลขโทรศัพท์ ชื่อ ตลอดจนที่อยู่ของผู้ที่เรียกมา และระบบโทรศัพท์ที่สามารถเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถแสดงข้อมูลของผู้ที่เรียกเข้ามาได้ นอกจากนี้ระบบ ISDN ยังช่วยให้มีการติดต่อเพื่อพูดคุยพร้อมกันหลายๆ สายได้ อีกทั้งมีระบบไปรษณีย์เสียง (voice mail) กล่าวคือ หากผู้ที่โทรเรียกไปพบว่าสายไม่ว่างหรือไม่มีผู้รับก็อาจจะทิ้งข้อความไว้ และเมื่อผู้รับเข้าสู่ระบบ ข้อความที่ฝากไว้ก็จะถูกถ่ายทอดให้แก่ผู้นั้นได้ทันที นอกจากนี้ยังมีการบริการให้แก่โรงแรมต่างๆ ในการปลุกผู้เข้าพักโดยอัตโนมัติอีกด้วย โทรสาร (Facsimile) โทรสารหรือแฟ็กซ์ (Fax) เป็นวิวัฒนาการด้านอุปกรณ์การสื่อสารข้อมูล ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อส่งผ่านสารสนเทศจากต้นแหล่งไปยังผู้รับปลายทาง โดยใช้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูง ระบบการทำงานของเครื่องโทรสารเป็นกระบวนการที่เครื่องส่งฉายแสงไปที่เอกสาร รูปถ่าย ภาพเขียน หรือสัญลักษณ์ต่างๆ อันเป็นต้นฉบับ เพื่อเปลี่ยนภาพหรืออักษรเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งไปตามช่องทางคมนาคมต่างๆ อาทิ ไมโครเวฟ สายโทรศัพท์ เครื่องส่งวิทยุ เมื่อเครื่องรับปลายทางได้รับสัญญาณดังกล่าว ก็จะเปลี่ยนสัญญาณนั้นให้ปรากฏเป็นภาพหรือข้อความตรงตามต้นฉบับ โทรภาพสาร (Teletext) โทรภาพสารหรือเทเลเท็กซ์เป็นระบบรับ-ส่งสารสนเทศผ่านคลื่นวิทยุโทรทัศน์ ส่งออกอากาศได้ในเวลาเดียวกันกับที่มีการออกอากาศรายการโทรทัศน์ตามปรกติ สารสนเทศจะถูกส่งออกอากาศเป็นหน้าๆ เหมือนหน้าหนังสือทั่วไป ผู้ชมสามารถใช้การควบคุมระยะไกล (Remote Control) เรียกสารสนเทศนั้นออกมาดูได้ตามต้องการ หรือเลือกดูเฉพาะข้อความที่ต้องการและหยุดดูได้นานตามต้องการ ไม่ต้องรอดูตั้งแต่หน้าแรก และยังสามารถรับชมรายการโทรทัศน์ได้ตามปกติ ผู้ที่มีเครื่องรับธรรมดาจะรับสารสนเทศทางเทเลเท็กซ์ได้ด้วยการติดตั้งแผ่นวงจรพิเศษ กับเครื่องรับโทรทัศน์ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic mail : E-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นทางเลือกขั้นต้น ในการให้บริการจดหมายทางไปรษณีย์โดยอัตโนมัติ แนวความคิดเกี่ยวกับไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ครอบคลุมถึงเรื่อง Broad Spectrum ด้วย กล่าวคือสารจะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าแล้วจึงถูกส่งออกไป ดังนั้น กระบวนการของระบบจึงเป็นลักษณะเดียวกับระบบโทรสาร ข้อมูลนำเข้าและข้อมูลผลลัพธ์จากระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ อาจปรากฏในรูปของ Video Terminal, Word Processor, โทรสาร, Data Terminal Computer Vision และระบบการสื่อสารด้วยเสียง การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จำเป็นต้องอาศัยข่ายงานโทรคมนาคม ไปรษณีย์ อิเล็คทรอนิกส์ที่มีข้อความสำคัญและประสงค์การส่งอย่างรวดเร็ว อาจกระทำได้โดยส่งผ่านออกไปในรูปแบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ผ่านข่ายงานข้อมูลที่เรียกว่า Computerize Switching System การประชุมทางไกล (Teleconference) เป็นรูปแบบการสื่อสารหรือการประชุมระหว่างคนหลายๆ คน โดยไม่ต้องอยู่ต่อหน้ากัน และใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นกลไกสำคัญในการสื่อสาร การประชุมทางไกลมี 3 วิธีการ คือ 1) การประชุมทางไกลด้วยเสียงและภาพ 2) การประชุมทางไกลด้วยเสียง 3) การประชุมทางไกลด้วยคอมพิวเตอร์ จะใช้คอมพิวเตอร์ส่งสาระของการประชุมระหว่างกัน ผ่านระบบออนไลน์ |
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในหน่วยงานราชการต่างๆ |
สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ (Government Information Technology Services - GITS) ลักษณะงานของสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ จะให้บริการเครือข่ายสารสนเทศภาครัฐ (Government Information Network) เพื่อตอบสนองการบริหารงานสำหรับหน่วยงานของภาครัฐอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง ส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการดำเนินงาน อันนำไปสู่การเป็น E-government และเป็นศูนย์กลางส่งเสริมให้เกิดระบบการเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างภาครัฐและประชาชน |
สำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation - OA) สำนักงานอัตโนมัติที่หน่วยงานของรัฐจัดทำขึ้นมีชื่อว่า IT Model Office เป็นโครงการนำร่องที่จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาระบบเครือข่ายพื้นฐานของภาครัฐ ในรูปของสำนักงานอัตโนมัติ เช่น งานสารบรรณ งานจัดทำเอกสารและจัดส่งทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ งานแฟ้มเอกสาร งานบันทึกการนัดหมายผู้บริหาร ซึ่งระบบงานที่สำคัญมีดังนี้คือ
|
อินเทอร์เน็ตตำบล เป็นการวางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ตำบลต่างๆ ทั่วประเทศสามารถเข้าใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในด้านต่างๆ เช่น หน่วยงานของรัฐ และองค์กรต่างๆ สามารถมีส่วนร่วมในการจัดทำและใช้ประโยชน์จากระบบอินเทอร์เน็ตตำบล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยงานที่อยู่ ณ ตำบลและใกล้ชิดกับประชาชน ก็จะมีความสำคัญและความรับผิดชอบในการจัดทำ ตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูล รวมทั้งให้บริการแก่กลุ่มชนต่างๆ |
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสรรพกร เนื่องจากกรมสรรพากรทำหน้าที่เป็นเหมือนแหล่งรายได้ของรัฐบาล รายได้จากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรมีมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมของประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจำต้องให้ความสำคัญกับระบบการจัดเก็บ ข้อมูลและประวัติของผู้เสียภาษีอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังต้องการข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์เพื่อทำ Macro Model หรือแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ให้กับประเทศอีกด้วย ปัจจุบันกรมสรรพกรได้จัดทำโครงการ E-revenue ซึ่งเป็นบริการเสียภาษีออนไลน์ นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์ด้านการพาณิชย์ มีบริการโปรแกรมประการยื่นแบบ บริการแบบพิมพ์ บริการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งอำนวยความสะดวก รวดเร็ว มากยิ่งขึ้นต่อประชาชนผู้ใช้บริการ ที่มา : http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm |
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสาขาอุตสาหกรรมการผลิต การแพทย์
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาอุตสาหกรรมและการผลิต |
โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งนำระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System-MIS) เข้ามาช่วยจัดการงานด้านการผลิต การสั่งซื้อ การพัสดุ การเงิน บุคลากร และงานด้านอื่นๆ ในโรงงาน ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานอุตสาหกรรมเช่น อุตสาหกรรมการพิมพ์ อุตสาหกรรมประเภทนี้ ใช้ระบบการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Publishing) ในการจัดเตรียมต้นฉบับ วิดีโอเท็กซ์ วัสดุย่อส่วน และเทเลเท็กซ์ได้ รวมทั้งการพิมพ์ภาพโดยใช้เทอร์มินัลนำเสนอภาพ (Visual Display Terminal) ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ มีการใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบรถยนต์ ปฏิบัติการการผลิต (เช่น การพ่นสี การเชื่อมอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ฯลฯ) การขับเคลื่อน การบริการ และการขาย รวมทั้งออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถปฏิบัติงานในโรงงานได้ในรูปแบบหุ่นยนต์ |
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาสาธารณสุขและการแพทย์ |
งานด้านสาธารณสุขเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ระบบบริหารได้นำเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ในงานต่างๆ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วย การสร้างเครือข่ายข้อมูลทางการแพทย์ แลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ป่วย การให้คำปรึกษาทางไกลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชำนาญ เทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยให้แพทย์สามารถเห็นหน้าหรือท่าทางของผู้ป่วยได้ ช่วยให้ส่งข้อมูลที่เป็นเอกสารหรือภาพเพื่อประกอบการพิจารณาของแพทย์ได้ ส่วนด้านให้ความรู้หรือการเรียน การสอนทางไกล ด้วยระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เป็นต้น |
ระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ระบบแพทย์ทางไกลเป็นการนำเอาความก้าวหน้า ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมมาประยุกต์ใช้กับงานทางการแพทย์ โดยการส่งสัญญาณผ่านสื่อซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณดาวเทียม (Satellite) หรือใยแก้วนำแสง (Fiber optic) แล้วแต่กรณีควบคู่ไปกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แพทย์ต้นทางและปลายทางสามารถติดต่อกันด้วยภาพเคลื่อนไหวและเสียง ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลคนไข้ระหว่างกันได้ |
รูปแสดงตัวอย่างระบบแพทย์ทางไกล |
ระบบการปรึกษาแพทย์ทางไกล (Medical Consultation) เป็นระบบการปรึกษาระหว่างโรงพยาบาลกับโรงพยาบาล (One to One) ซึ่งจะสามารถใช้งานพร้อมๆ กันได้ เช่น ในขณะที่โรงพยาบาลที่ 1 ปรึกษากับโรงพยาบาล ที่ 2 อยู่ โรงพยาบาลที่ 3 สามารถขอคำปรึกษาจากโรงพยาบาลที่ 4 และโรงพยาบาลที่ 5 สามารถขอคำปรึกษาจาก โรงพยาบาลที่ 6 ได้ ระบบการปรึกษาแพทย์ทางไกล ประกอบด้วยระบบย่อยๆ 3 ระบบดังนี้คือ 1) ระบบ Teleradiology เป็นระบบการรับส่งภาพ X-Ray โดยผ่านการ Scan Film จาก High Resolution Scanner เพื่อเก็บลงใน File ของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะมีการส่ง File ดังกล่าวไปยังโรงพยาบาลที่จะให้คำปรึกษา 2) ระบบ Telecardiology เป็นระบบการรับส่งคลื่นหัวใจ (ECG) และเสียงปอด เสียงหัวใจ โดยผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อมายังอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 3) ระบบ Telepathology เป็นระบบรับส่งภาพจากกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) ซึ่งอาจจะเป็นภาพเนื้อเยื่อ หรือภาพใดๆ ก็ได้จากกล้องจุลทรรศน์ทั้งชนิด Monocular และ Binocular ระบบนี้เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อกับกล้องจุลทรรศน์ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในโรงพยาบาลต่างๆ อยู่แล้ว |
ระบบเชื่อมเครือข่ายข้อมูลและโทรศัพท์ (Data and Voice Network) ระบบเชื่อมเครือข่ายข้อมูลเป็นระบบการใช้งานเชื่อมต่อจากโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งเป็นจุดติดตั้งของโครงการฯ มายังสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้สามารถใช้บริการทางด้านเครือข่ายข้อมูลต่างๆ คือระบบ Internet ระบบ CD-ROM Server ระบบ ฐานข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ส่วนระะบบ CD-ROM Server เป็นระบบที่ให้บริการฐานข้อมูลทางการแพทย์จำนวน 5 ฐานข้อมูล ได้แก่ ฐานข้อมูล Medline Standard ฐานข้อมูล Drugs and Pharmacology ฐานข้อมูล Nursing ฐานข้อมูล Health Planning และฐานข้อมูล Excerpta Medica จำนวน 3 modules ได้แก่ Cardiology, Gestro Intestinal, Nephrology |
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสาขาการศึกษาธุรกิจพาณิชย์และสำนักงาน
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาธุรกิจ พาณิชย์และสำนักงาน |
E-commerce: Electronic Commerce E-commerce หรือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรรมในเชิงธุรกิจทุกประเภทที่กระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมทั้งการซื้อขาย การแลกเปลี่ยนสินค้าและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งสินค้า การชำระเงิน และการบริการด้านข้อมูล เป็นต้น E-commerce นั้นสามารถให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และไม่จำกัดขอบเขตของผู้ใช้บริการและระยะเวลาทำการของหน่วยงาน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง สื่อที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือหลัก ในการปฏิบัติงานและติดต่อสื่อสารข้อมูล ใน E-commerce สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของเรา ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อเคเบิลทีวี เครื่องโทรสาร โทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่อง ATM ระบบการชำระเงินและโอนเงินอัตโนมัติ รวมทั้งเครือข่ายอินเทอร์เน็ต |
E-business E-business เป็นธุรกิจเชิงอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตที่กว้างกว่า E-commerce เนื่องจากเป็นการพิจารณาถึงองค์ประกอบทุกส่วนของการดำเนินธุรกิจ มิได้พิจารณาเพียงเฉพาะกิจกรรมการซื้อ-ขายเท่านั้น เป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจผนวกกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ และปรับปรุงธุรกิจให้มีความเป็นระบบ สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มศักยภาพของธุรกิจด้วยการดำเนินธุรกิจให้กลายเป็นรูปแบบ Online และครอบคลุมได้ทั่วโลก |
การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange: EDI) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EDI เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการรับ - ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย เช่น โทรศัพท์ สายเคเบิล ดาวเทียม เป็นต้น แทนการส่งเอกสารโดยพนักงานส่งสารหรือไปรษณีย์ ระบบ EDI จะต้องใช้รูปแบบของเอกสารที่เป็นมาตรฐานเพื่อให้หน่วยงานทางธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับมาตรฐานของ EDI ในประเทศไทยถูกกำหนดโดยกรมศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานแรกที่นำระบบนี้มาใช้งาน คือ มาตรฐาน EDIFACT (Electronic Data Interchange for Administration, Commerce and Transport) ตัวอย่างของเอกสารที่นำมาใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลด้วยระบบ EDI เช่น ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสนอราคา ใบกำกับสินค้า ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี เป็นต้น ประโยชน์ของการใช้ระบบ EDI
|
ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ปัจจุบันสำนักงานจำนวนมากได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อให้งานบังเกิดผลในด้านบวก อาทิ ความสะดวกรวดเร็ว ความถูกต้อง และสามารถทำสำเนาได้เป็นจำนวนมาก เป็นต้น อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้ได้แก่ เครื่องพิมพ์ดีดอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ เทเลเท็กซ์ เครื่องเขียนตามคำบอกอัตโนมัติ (Dictating Machines) เครื่องอ่านและบันทึกวัสดุย่อส่วน เครื่องถ่ายเอกสารแบบหน่วยความจำ เครื่องโทรสาร ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้ นำไปประยุกต์ใช้กับงานสำนักงาน ดังนั้นการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในระบบสำนักงาน จึงเรียกว่า ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ซึ่งเทคโนโลยีดังที่กล่าวมานำไปประยุกต์ใช้กับงานสำนักงานได้ในหลายลักษณะ เช่น งานจัดเตรียมเอกสาร งานกระจายเอกสาร งานจัดเก็บและค้นคืนเอกสาร งานจัดเตรียมสารสนเทศในลักษณะภาพ งานสื่อสารสนเทศด้วยเสียง งานสื่อสารสารสนเทศด้วยภาพและเสียง เป็นต้น |
วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554
เทคนิคและการใช้โปรแกรมเบราว์เซอร์ค้นหาข้อมูล
เทคนิค 8 ประการที่ควรรู้ในการค้นหาข้อมูล
ที่มา http://www.kemapat.ac.th/search8.htm
ในการค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่ผู้ใช้งานทั่วไปมักจะพบเห็น หรือประสบอยู่เสมอๆก็คงจะหนี
ไปไม่พ้นข้อมูลที่ค้นหาได้มีขนาดมากจนเกินไป ดังนั้นเพื่อ ความสะดวกในการใช้งานคุณจึงน่าที่จะเรียนรู้เทคนิคต่างๆเพื่อ
ช่วยลดหรือจำกัดคำที่ค้น หาให้แคบลงและตรงประเด็นกับเรามากที่สุด
1. เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด ส่วนจะเลือกใช้วิธีไหนก็ตามแต่คุณจะเห็นว่า เหมาะสม
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ชี้ เฉพาะเจาะจง ก็ควรเลือกบริการสืบค้นข้อมูล
แบบ Index อย่างของ sanook เพราะ โอกาสที่จะเจอนั้น เปอร์เซ็นต์สูงกว่าจะมานั่งสุ่ม
หาโดยใช้วิธีแบบ Search Engine
2. ใช้คำมากกว่า 1 คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกันช่วยค้นหา เพราะจะได้ผลลัพท์ที่มีขนาด แคบลงและชี้เฉพาะมากขึ้น
(ย่อมจะดีกว่าหาคำเดียวโดดๆ) เช่น kanchanaburi+kemapat
3. ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน เช่น การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของ ภาพยนตร์ก็น่าที่จะเลือกใช้
Search Engine ที่ให้บริการใหล้เคียงกับเรื่องพวกนี้ เพราะผลลัพท์ที่ได้น่าจะเป็นที่น่าพอใจกว่า
4. ใส่เครื่องหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำที่ต้องการ เพื่อบอกกับ Search Engine ว่าเรา ต้องการผลการค้นหาที่มีคำใน
กลุ่มนั้นครบและตรงตามลำดับที่เราพิมพ์ทุกคำ เช่น "kemapat school" เป็นต้น
5. การขึ้นต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจว่าเราต้องการ ให้มันค้นหาคำดังกล่าวแบบ
ไม่ต้องสนใจว่าตัวอักษรที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ดังนั้นหากคุณต้องการอยากที่จะให้มันค้นหาคำตรงตามแบบที่
เขียนไว้ก็ให้ใช้ตัว อักษรใหญ่แทน
6. ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยค้นหา มีอยู่ 3 ตัวด้วยกันคือ
- AND สั่งให้หาโดยจะต้องมีคำนั้นๆ มาแสดงด้วยเท่านั้น! โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องติดกัน เช่น
thailand and kanchanaburi เป็นต้น
- OR สั่งให้หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลงไปมาแสดง
- NOT สั่งไม่ให้เลือกคำนั้นๆมาแสดง เช่น thailand and kanchanaburi not goft หมายความว่า ให้ทำการหา
เว็บที่เกี่ยวข้องกับ thailand และ kanchanaburi แต่ต้องไม่มี goft เป็นต้น
7. ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ + หน้าคำที่ต้องการจริงๆ
- (ลบ)ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ
() ช่วยแยกกลุ่มคำ เช่น (pentium+computer)cpu
8. ใช้ * เป็นตัวร่วม เช่น com* เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำว่า com ขึ้นหน้าส่วนด้านท้ายเป็น อะไรไม่สนใจ
*tor เป็นการให้หาคำที่ลงท้ายด้วย tor ด้านหน้าจะเป็นอะไรไม่สนใจ
ที่มา http://www.kemapat.ac.th/search8.htm
Firefox 4 นั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์ Test Pilot ซึ่งจะช่วยให้ Mozilla มีข้อมูลดิบไปใช้ประกอบการตัดสินใจออกแบบโปรแกรมในอนาคต (เป็นตัวอย่างที่ดีของ data-driven design) ซึ่งผมก็ยินดีให้ความร่วมมือ ยอมให้ Mozilla มาเก็บข้อมูลของเราไปใช้งาน (Mozilla ก็ถือเป็นองค์กรที่เชื่อถือได้ว่าจะไม่แอบเอาข้อมูลส่วนตัวของเราไปใช้)
ล่าสุดเปิดมาเจอว่าชุดทดสอบ Search Interface มันเด้งขึ้นมาบอกว่า เก็บข้อมูลเสร็จแล้ว พร้อมส่งไปยัง Mozilla หรือไม่ ก่อนกดส่งก็พบว่ามันแสดง "พฤติกรรม" ในการค้นหาข้อมูลของเราให้เห็นด้วย คิดว่าน่าสนใจดีเลยเอามาเขียนถึงเสียหน่อย
พฤติกรรมการใช้งานของผมคือ ค้นผ่านการเปิดเว็บมากที่สุด (คือพิมพ์ Google แล้วค่อยค้นจากเว็บ) ส่วน Search Box ก็ใช้บ้างประมาณ 22% แต่อันที่แทบไม่ใช้เลยคือ URL bar เพราะ mindset เรารู้สึกว่ามันไม่ใช้สำหรับค้นของ (ต่างจาก Omnibar ของ Chrome) สุดท้าย context menu (ลากคำ คลิกขวาแล้วกด search) อันนั้นนานๆ ใช้ทีแต่ใช้ทีไรก็รู้สึกว่ามันสะดวกอยู่
ที่มา http://www.usably.net/
ล่าสุดเปิดมาเจอว่าชุดทดสอบ Search Interface มันเด้งขึ้นมาบอกว่า เก็บข้อมูลเสร็จแล้ว พร้อมส่งไปยัง Mozilla หรือไม่ ก่อนกดส่งก็พบว่ามันแสดง "พฤติกรรม" ในการค้นหาข้อมูลของเราให้เห็นด้วย คิดว่าน่าสนใจดีเลยเอามาเขียนถึงเสียหน่อย
พฤติกรรมการใช้งานของผมคือ ค้นผ่านการเปิดเว็บมากที่สุด (คือพิมพ์ Google แล้วค่อยค้นจากเว็บ) ส่วน Search Box ก็ใช้บ้างประมาณ 22% แต่อันที่แทบไม่ใช้เลยคือ URL bar เพราะ mindset เรารู้สึกว่ามันไม่ใช้สำหรับค้นของ (ต่างจาก Omnibar ของ Chrome) สุดท้าย context menu (ลากคำ คลิกขวาแล้วกด search) อันนั้นนานๆ ใช้ทีแต่ใช้ทีไรก็รู้สึกว่ามันสะดวกอยู่
ที่มา http://www.usably.net/
เว็บไซต์ค้นหาที่ได้รับความนิยมและการใช้ Search Engines
เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลที่ได้รับความนิยม
เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลที่ได้รับความนิยม
ที่มา:http://www.ku.ac.th/magazine_online/search_engine.html
การพิมพ์ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มีอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เชื่อกันว่าข้อมูลข่าวสารที่จัดพิมพ์ในรูป Web หรือโฮมเพ็จเพื่อเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต มีมากกว่า 1000 ล้านหน้า (1000 หน้า URL reference)
เมื่อข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ตมีมากมายเช่นนี้ ทำให้ระบบการค้นหาเป็นเรื่องที่สำคัญมากยิ่งขึ้น เมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องการเครื่องมือในการค้นหา จึงมีผู้พัฒนาระบบค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า Search Engine และสร้างสถานีบริการไว้บนอินเทอร์เน็ต
สถานีบริการที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่รู้จักกันดีมีหลายแห่ง เช่น yahoo.com, altavista.com excite.com, webcrawler.com เป็นต้น สถานีบริการเหล่านี้จึงเป็นที่รู้จักและใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนรู้จักกันดี
แต่หากพิจารณาข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตกว่าหนึ่งพันล้านหน้า ระบบการค้นหาที่ให้บริการอยู่นี้ยังไม่สามารถเก็บดัชนีค้นหาและให้การค้นหาได้ครบทุกแห่ง จากการประมาณการของสถานีค้นหาที่ใหญ่ที่สุด เช่น yahoo.com หรือ altavista.com จะค้นหาข้อมูลได้ไม่ถึงครึ่งของเอกสารที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต
หากนำข้อมูลของหนังสือทุกเล่มจากห้องสมุดรัฐสภาอเมริกันมาเก็บรวมกันในรูปดิจิตอล มีผู้คำนวณดูว่าถ้าจะเก็บในรูป ASCII จะได้ประมาณ 20 เทราไบต์ (โดยมีหนังสือในห้องสมุดประมาณ 20 ล้านเล่ม) และข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่เรียกดูได้ทั้งหมดจะรวมกัน น่าจะอยู่ที่ประมาณ 14 เทราไบต์ อัตราการเพิ่มของข้อมูลที่มีมากกว่า 20 เปอร์เซนต์ต่อปี ดังนั้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้อมูลที่เก็บในอินเทอร์เน็ตที่เรียกดูได้แบบสาธารณะน่าจะมีมากกว่า 100 เทราไบต์
หลักการของเครื่องค้นหาที่สำคัญคือโปรแกรมหุ่นยนต์ ที่จะทำงานอัตโนมัติ และวิ่งเข้าไปซอกแซกในอินเทอร์เน็ต พร้อมคัดลอกข้อมูลมาจัดทำดัชนี และจัดโครงสร้างไว้ในฐานข้อมูลเพื่อจะเอื้อประโยชน์ให้ผู้เรียกค้นดูได้ โปรแกรมหุ่นยนต์นี้จะต้องทำงานเป็นระยะและวนกลับมาปรังปรุงข้อมูลใหม่ เพราะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
ที่สำคัญคือข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมีหลากหลายภาษา จีน ไทย ฝรั่ง พม่า ลาว โปรแกรมค้นหาจะชาญฉลาดจัดทำดัชนีเหล่านี้ได้หมดหรือ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด
โดยเฉพาะเรื่องภาษาไทย ที่เอกสารเขียนติดกัน คำหลักที่ใช้ค้นหาเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องศึกษาวิจัย เชื่อแน่ว่าโปรแกรมหุ่นยนต์ของฝรั่งที่พัฒนาขึ้นก็ยากที่จะเข้าใจภาษาไทยได้ดี
เมื่อเป็นเช่นนี้ทีมงานภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้ดำเนินการทำการวิจัยและพัฒนาสร้าง Nontri Search ซึ่งเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลที่เอื้อประโยชน์ต่อคนไทยและจะทำให้รู้ใจคนไทยได้มากยิ่งขึ้น
การทำงานของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยตัวโปรแกรมหุ่นยนต์ ที่จะเสาะแสวงหาที่อยู่ของเว็บเพ็จต่าง ๆ ปัจจุบันเน้นเฉพาะเว็บเพ็จที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก โดยศึกษาวิเคราะห์จากโครงสร้างไอพีแอดเดรสและข้อมูลจากเนมเซิร์ฟเวอร์ ที่มีการจดทะเบียนใช้งานในเมืองไทย หุ่นยนต์จะลองทำการวิ่งเข้าหาเครื่องแต่ละเครื่องเพื่อคัดลอกข้อมูลมา จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำดัชนีค้นหาไว้
สิ่งที่ Nontri Search ทำได้ในขณะนี้คือ จะวิ่งค้นหาเป็นรอบ ๆ เพื่อปรับปรุงข้อมูลและดูว่าข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพื่อปรับปรุงดัชนีให้ทันสมัย แทบไม่น่าเชื่อว่า ปัจจุบันภายในประเทศไทย มีข้อมูลเกือบหกแสนหน้า (ยูอาร์แอล) การจัดทำดัชนีจะเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งปัจจุบันในเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่เครื่องหนึ่งรองรับฐานข้อมูลนี้
การจัดทำดัชนีและจุดอ้างอิงยูอาร์แอล เมื่อผู้ใช้เรียกถาม Nontri Search ก็จะเรียกค้นจากฐานข้อมูลแล้วนำมาแสดงให้ การจัดทำดัชนีนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะมีเรื่องราวที่จะต้องปรับแต่งและวิจัยหาความเหมาะสมได้อีกมาก
การพัฒนาระบบค้นหาข้อมูลจึงเป็นศาสตร์ที่สำคัญยิ่งสำหรับอนาคต เพราะลองนึกดูว่า ถ้าเราต้องการให้ค้นหาข้อมูลทั้งหมดในอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีกว่าพันล้านยูอาร์แอล มีความจุกว่า 14 เทราไบต์ ระบบการค้นหาและทำดัชนีจะเป็นระบบที่ซับซ้อนพอดู เพราะต้องให้บริการได้เร็ว
งานวิจัย Nontri Search จึงเป็นผลงานที่ชาวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้จัดทำขึ้นเพื่อประชาคมอินเทอร์เน็ตที่เป็นคนไทย งานพัฒนานี้จะต้องกระทำต่อไป
http://raktukkonnaka.spaces.live.com/blog/cns!C6A83A39A6E3D506!166.entry
การใช้ Search Engines
1. ใช้เครื่องมือแปลเว็บเพ็จให้เป็นประโยชน์
นอกจากภาษาอังกฤษแล้วที่เราท่านอาจจะอ่านออกบ้าง ไม่ออกบ้างเช่นผม เป็นต้น ถ้าไปเจอภาษาอื่น ๆ
โดยเฉพาะเว็บแคร็กที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ควรจะใช้เครื่องมือแปลภาษาบ้าง จะได้รู้ว่ามันคืออะไร เช่น
หรือซึ่งถ้าใครใช้ MyIE2 อยู่แล้วมันก็มีอยู่ในโปรแกรมแล้ว ตรงลูกครสีเขียวเล็ก ๆ (ปุ่ม Go) ข้าง ๆ จะมีลูกศรอันจิ๋วนั่นแหละครับคลิกเลย
2. ใช้ Directories
เจ้านี่จะเป็นตัวช่วยกำจัดข้อมูลที่เราต้องการหาให้เหลือน้อยลงได้เป็นการประหยัดเวลา โดยการหาเฉพาะที่เราต้องการเท่านั้น
3. ใช้ “advanced tips”
อันนี้ก้วยเจ๋งบวกอึ้งย้งเลย บางอันผมยังไม่เคยทราบ โปรดทราบว่า x ใช้แทนอักษรหรือคำที่เราต้องการ
A. "xxxx" ถ้าเราต้องการหาคำเฉพาะเจาะจง ให้พิมพ์ใส่ในเครื่องหมายฟันหนู อย่าลืมว่า google ไม่ใช่ case sensitive หมายถึงว่า เมื่อเราพิมพ์คำว่า Thailand โดยไม่ได้ใส่เครื่องหมาย มันก็จะหาข้อมูลที่มีคำว่าไทยแลนด์มาให้ดูเป็นกระตั้ก
B. -x / ถ้าใส่เครื่องหมายลบอยู่ข้างหน้าตามด้วย / คำที่อยู่ระหว่าง 2 เครื่องหมายนี้จะไม่ถูกค้นหา
C. filetype:xxx / เป็นการหา file extension โดยเฉพาะครับ (exe, mp3, etc)
D. -filetype:xxx / พอใส่เครื่องหมายลบเพิ่มเป็นการบอกว่าไม่ต้องค้นนะ ไฟล์สกุลนี้
E. allinurl:x / เป็นการหา URL ที่เราต้องการ อ่านว่า ออลอินยูอาร์แอล:คำที่ต้องการหา
F. allintext:x / หาคำที่ต้องการในหน้าเว็บ
G. allintitle:x / หา html title ในหน้าเว็บนั้น
H. allinanchor:x / หาคำที่ต้องการในลิงค์ที่โชว์อยู่
I. OR นั่นก็คือหรือนั่นเอง หมายถึงให้หาคำนี้หรือคำนั้น
J. ~X ให้หาคำที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน ในกรณีที่เราคิดอะไรไม่ออกอ่ะครับ
4. ใช้จุดกับตัวเลข
สมมุตินะครับสมมุติว่าผมเป็นเด็ก (ทำไมกลายเป็นน้องพลับไปได้หว่า…) เอาใหม่ เช่นถ้าเราต้องการหาเครื่องเล่น MP3 ราคาอยู่ในราวไม่เกิน $90 เราก็พิมพ์ว่า mp3 player $0..$90 มันก็จะหาให้เราเฉพาะราคาระหว่าง 0~90 เหรียญเท่านั้น เพราะเราใส่จุดไป 2 ตัวนั่นเอง ทิปนี้ใช้กับตัวเลขอื่น ๆ เช่นวันที่ น้ำหนัก ฯลฯ ได้ด้วยครับ
5. ใส่เครื่องหมายบวก +
เคยพิมพ์คำที่เราต้องการหาแล้วเจอข้อความนี้ไหมครับ
"The following words are very common and were not included in your search:"
เราสามารถใส่ + หน้าคำที่เราต้องการถึงแม้มันจะเป็นคำธรรมดาเป็นการบังคับกูลเกิลหาให้เราครับ
6. ใช้ Preferences
Google มีตัวปรับแต่งการหาให้เหมาะสมกับความต้องการของเราครับ ใช้มันให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ตรงใกล้กับช่อง search box ด้านขวามือนั่นแหละครับมี Options หลายตัวให้เราเลือกใช้ เช่น Open results in new browser, Display 10-50 or 100 results per page
7. ใช้ดอกจัน *
อันนี้น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วนะครับเรียกว่า Wildcard searches เป็นการหาคำแบบกว้าง ๆ เช่น *mp3 มันก็จะหาทุกคำที่มีเอ็มพี3ให้ทั้งหมด
8. หาไปทุกที่
ครับ ถ้าเราหาไม่เจอใน web section ก็หาใน group section ถ้าไม่เจอก็ใช้ search engine ตัวอื่น ๆ เช่น yahoo, altavista หาต่อไป หรือเพื่อให้แน่ใจคำที่เราต้องการหา ให้ใช้ serch engine หลาย ๆ ตัวหาในคำ ๆ เดียวกันเพื่อเปรียบเทียบผลที่ได้รับ ยกตัวอย่างเช่น หาคำว่า”การตายของดิสนีย์ (disney death)” ถ้าหาใน altavista จะมี disney เพียบแต่คำว่า death ไม่มีหรอกครับ อ่ะ อ่ะ คนทำเว็บนี้กลัวตายตบท้ายด้วยการที่ผู้เขียนยกตัวอย่างการหาคำเฉพาะที่ต้องการโดยใช้เทคนิคตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
เขาต้องการหาคำว่า Sepultura เป็นชื่อวงดนตรี Heavy metal ของบราซิล (เฮอะ..ผมก็ชอบนะพวก Heavy metal or Heavy rock แต่ต้องเป็นวงเก่า ๆหน่อยเช่น Mountain, Lead Zaplin, UFO, Uriah Heep, Three dog night, Wish boon Ash อะไรพวกเนี้ย)
http://www.com-th.net/webboard/index.php?topic=257.0
ความหมายและประเภทของเครื่องจักร
ความหมายของเครื่องจักรค้นหา
เว็บไซต์ค้นหาคืออะไร (Search Engine)
โดยปกติแล้วเมื่อจัดทำเว็บไซต์ขึ้นแล้ว จะต้องทำการประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ของเรา ให้เป็นที่รู้จัก เพื่อที่คนจะได้เข้ามาดูข้อมูลที่เราต้องการเผยแพร่ได้ หากเราทำเว็บไซต์ไว้เฉย ๆ โดยไม่มีการประชาสัมพันธ์ หรือ บอกกล่าวกับผู้คน ก็จะทำให้เว็บไซต์เรา เปรียบเสมือน หนังสือ ที่วางไว้เฉยๆ โดยไม่มีคนอ่าน หรือ ทางภาษาทางการตลาดว่า "เว็บตาย" นั่นเอง หากเราจะทำเว็บและไม่ได้คิดถึงการทำตลาด การประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ ในด้านต่าง ๆ ก็ไม่มีประโยชน์เท่าใด เพราะถึงทำไปก็ไม่มีคนมาเข้าเว็บไซต์ของเราอยู่ดี ซึ่งการทำตลาดผ่านเว็บไซต์ มีได้ในหลายๆ ช่องทาง ก่อนที่เราจะรู้วิธี การทำตลาดผ่านเว็บไซต์ค้นหา (Search Engine Marketing) เรามาทำความรู้จัก "เว็บไซต์ค้นหา" กันก่อน
การทำงานของเว็บไซต์ค้นหา
ก่อนที่เราจะใช้ เว็บไซต์ค้นหา ในการทำตลาดให้กับเว็บไซต์ของเรา เรามาดูวิธีการทำงานของเว็บไซต์ค้นหาต่าง ๆ กันก่อนดีกว่า
ปกติแล้วเว็บไซต์ค้นหาจะแบ่งออกเป็น 3 จำพวกนั่นคือ
การทำงานของเว็บไซต์ค้นหา
ก่อนที่เราจะใช้ เว็บไซต์ค้นหา ในการทำตลาดให้กับเว็บไซต์ของเรา เรามาดูวิธีการทำงานของเว็บไซต์ค้นหาต่าง ๆ กันก่อนดีกว่า
ปกติแล้วเว็บไซต์ค้นหาจะแบ่งออกเป็น 3 จำพวกนั่นคือ
1. Search Engine เป็นเว็บไซต์ที่มีเครื่องมือในการที่จะค้นหาเว็บไซต์ต่าง ๆ มาเก็บไว้ในฐานข้อมูลของตัวเองโดยอัตโนมัติ เช่น Google.com หรือ Altavista.com ซึ่งเครื่องมือนี้ มีชื่อเรียกว่า Search Robot จะทำหน้าที่คอยวิ่งเข้าไปอ่านข้อความจากหน้าเว็บไซต์ ของเว็บต่าง ๆ แล้วนำมาจัดลำดับคำค้นหา (Index) ที่มีในเว็บไซต์เหล่านั้น เก็บไว้ในฐานข้อมูลของตนเอง เมื่อเราเข้าไปใช้บริการ กับ Search Engine ต่าง ๆ ก็จะเป็นการไปค้นหาคำต่าง ๆ ที่ Search Engine ได้เก็บรวบรวมไว้แล้วนั่นเอง
2. Web Directory เป็นเว็บไซต์ค้นหาที่ใช้วิธีการ เพิ่มข้อมูลเข้าไปในฐานข้อมูลของระบบด้วย กำลังคน (มีเจ้าหน้าที่คอยเพิ่มข้อมูลเข้าไป) จะไม่มีการส่ง Robot ออกไปค้นด้วยตนเองแต่อย่างใด ซึ่งการจะนำชื่อเว็บไซต์ของเราให้เข้าไปอยู่ใน Web Directory นี้จะต้องไปทำการเพิ่มชื่อเข้าไปเอง เว็บประเภทนี้ก็เช่น Yahoo.com และ Dmoz.org
3. Meta Engine เป็นเว็บไซต์ที่ไปค้นหาจากเว็บไซต์ค้นหาอีกที ซึ่งเว็บประเภท Meta Crawler นี้จะทุ่นแรง โดยการนำคำทีต้องการค้น ไปค้นจากเว็บค้นหาประเภทต่าง ๆ และนำมาแสดงรวมกันให้เราดูอีกที ซึ่งก็สะดวกไปอีกแบบหนึ่งครับ เว็บประเภทนี้ก็เช่น Metacrawler.com, Go2net.com และ Thaifind.com
หาข้อมูลที่ต้องการให้พบ
การหาข้อมูลที่ต้องการให้พบ ไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเทคนิคนิด ๆ หน่อย... โดยปกติแล้วการค้นหาข้อมูลที่ต้องการก็เพียงแค่ เราไปใส่คำที่ต้องการค้นหาในเว็บไซต์ค้นหา แล้ว กดปุ่ม สำหรับค้น ก็จะมีข้อมูลต่าง ๆ ออกมาให้เราเลือก ว่าใช่เรื่องที่เราต้องการค้นหาหรือไม่ แต่หากเราใช้คำหลาย ๆ คำเช่น Bronze Sculpture Thailand บางทีอาจจะทำให้เว็บไซต์ค้นหา แสดงผลออกมาได้ไม่ตรงกับความต้องการก็ได้ ซึ่งในเกือบทุก ๆ เว็บไซต์ค้นหา จะยอมรับคำสั่งทั่ว ๆ ไป ในการแสดงผลลัพธ์ ซึ่งหากเรานำคำสั่งเหล่านั้นมาใช้ ก็จะช่วยให้เราค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็ว ซึ่งคำสั่งทั่ว ๆ ไปมีดังนี้
AND เป็น คำสั่งให้รวมคำค้นหาที่อยู่ระหว่าง AND เข้าด้วยกัน เช่น Bronze AND Thailand เว็บไซต์ค้นหา จะไปหาหน้าเว็บไซต์ที่มี ทั้งคำว่า Bronze และ Thailand อยู่ในหน้าเดียวกันออกมา วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้ในหลายรูปแบบดังนี้ Bronze AND Thai, "Bronze Thai", Bronze + Thai, Bronze & Thai
แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ Bronze + Thai
OR เป็น คำสั่งให้เลือกคำใดคำหนึ่ง หรือ ทั้งสองคำมาแสดงผล เช่น Bronze OR Thailand เว็บไซต์ค้นหา จะค้นหาหน้าเว็บไซต์ ที่มีคำว่า Domain หรือ Siam ออกมาแสดงก็ได้ ซึ่งปกติแล้ว ค่าเริ่มต้นของทุก เว็บค้นหา จะเป็น OR อยู่แล้ว วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้หลายรูปแบบดังนี้
Bronze OR Thailand, Bronze Thailand
แต่ที่นิยมมากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ Bronze Thailand
NOT เป็นคำสั่งให้ตัดเว็บไซต์ที่มีคำค้นหา ตามหลัง NOT ออกไป เช่น Thailand NOT Bangkok เป็นคำสั่งให้ค้นหาคำว่า Thailand แต่ไม่เอาหน้าที่มีคำว่า Bangkok วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้หลายรูปแบบดังนี้
Thailand NOT Bangkok, Thailand -Bangkok
แต่ที่นิยมมากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ Thailand -Bangkok
ซึ่งหากเรานำคำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับคำค้นหาเรา ก็จะทำให้เราสามารถค้นหาเว็บที่ให้ข้อมูลได้ตรงกับความต้องการภายในเวลารวดเร็ว
การหาข้อมูลที่ต้องการให้พบ ไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเทคนิคนิด ๆ หน่อย... โดยปกติแล้วการค้นหาข้อมูลที่ต้องการก็เพียงแค่ เราไปใส่คำที่ต้องการค้นหาในเว็บไซต์ค้นหา แล้ว กดปุ่ม สำหรับค้น ก็จะมีข้อมูลต่าง ๆ ออกมาให้เราเลือก ว่าใช่เรื่องที่เราต้องการค้นหาหรือไม่ แต่หากเราใช้คำหลาย ๆ คำเช่น Bronze Sculpture Thailand บางทีอาจจะทำให้เว็บไซต์ค้นหา แสดงผลออกมาได้ไม่ตรงกับความต้องการก็ได้ ซึ่งในเกือบทุก ๆ เว็บไซต์ค้นหา จะยอมรับคำสั่งทั่ว ๆ ไป ในการแสดงผลลัพธ์ ซึ่งหากเรานำคำสั่งเหล่านั้นมาใช้ ก็จะช่วยให้เราค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็ว ซึ่งคำสั่งทั่ว ๆ ไปมีดังนี้
AND เป็น คำสั่งให้รวมคำค้นหาที่อยู่ระหว่าง AND เข้าด้วยกัน เช่น Bronze AND Thailand เว็บไซต์ค้นหา จะไปหาหน้าเว็บไซต์ที่มี ทั้งคำว่า Bronze และ Thailand อยู่ในหน้าเดียวกันออกมา วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้ในหลายรูปแบบดังนี้ Bronze AND Thai, "Bronze Thai", Bronze + Thai, Bronze & Thai
แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ Bronze + Thai
OR เป็น คำสั่งให้เลือกคำใดคำหนึ่ง หรือ ทั้งสองคำมาแสดงผล เช่น Bronze OR Thailand เว็บไซต์ค้นหา จะค้นหาหน้าเว็บไซต์ ที่มีคำว่า Domain หรือ Siam ออกมาแสดงก็ได้ ซึ่งปกติแล้ว ค่าเริ่มต้นของทุก เว็บค้นหา จะเป็น OR อยู่แล้ว วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้หลายรูปแบบดังนี้
Bronze OR Thailand, Bronze Thailand
แต่ที่นิยมมากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ Bronze Thailand
NOT เป็นคำสั่งให้ตัดเว็บไซต์ที่มีคำค้นหา ตามหลัง NOT ออกไป เช่น Thailand NOT Bangkok เป็นคำสั่งให้ค้นหาคำว่า Thailand แต่ไม่เอาหน้าที่มีคำว่า Bangkok วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้หลายรูปแบบดังนี้
Thailand NOT Bangkok, Thailand -Bangkok
แต่ที่นิยมมากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ Thailand -Bangkok
ซึ่งหากเรานำคำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับคำค้นหาเรา ก็จะทำให้เราสามารถค้นหาเว็บที่ให้ข้อมูลได้ตรงกับความต้องการภายในเวลารวดเร็ว
ประเภทของ Search Engine
ทำไมเราต้องทำความรู้จักกับประเภทของ Search Engine หากคุณเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ นั่นหมายความว่า คุณยังไม่รู้จัก การ Search Engine ดีพอ เพราะวิธีการ และการจัดเก็บข้อมูลของแต่ละ Search Engine แตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล
ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่นี้เราลองมาดูซิว่า Search Engine ประเภทใดที่เหมาะกับการค้นหาข้อมูลของคุณ
1. Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อย ๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจนั้นๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึง อ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษาคำสั่งในการสร้างเว็บเพจ (ภาษา HTML) หรือเรียก TAG ซึ่งอยู่ในรูปแบบ และข้อความที่อยู่ในคำสั่ง alt ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และคำสั่งในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา
วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้ จะให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณต้องการแนวทางทางกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธีการนี้ก็ใช้ได้ไม่เลว
2. Subject Directories การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล ของการ Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการ พินิจวิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้ จะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคน ว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้น ๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร
ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูก จัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ เด็ก Search Engine ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับเด็กล้วน ๆ มาให้คุณ
3. Metasearch Engines จุดเด่นของการ Search Engine ด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่น ๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การ search ด้วยวิธีนี้ มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะ ไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language ( ภาษาพูด) ดังนั้น หากคุณจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย
บทสรุปของการเลือกใช้ Search Engine คือ คุณจะต้องเข้าใจว่า วิธีการแต่ละวิธีมีจุดเด่นและจุดด้อย แตกต่างกันไป ฉะนั้นหากคุณจะค้นหาข้อมูลละก็ คุณต้องเลือกวิธีการค้นหาข้อมูลที่เหมาะสมกับ ความละเอียดถูกต้อง ของข้อมูลที่คุณต้องการด้วย
ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่นี้เราลองมาดูซิว่า Search Engine ประเภทใดที่เหมาะกับการค้นหาข้อมูลของคุณ
1. Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อย ๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจนั้นๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึง อ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษาคำสั่งในการสร้างเว็บเพจ (ภาษา HTML) หรือเรียก TAG ซึ่งอยู่ในรูปแบบ และข้อความที่อยู่ในคำสั่ง alt ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และคำสั่งในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา
วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้ จะให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณต้องการแนวทางทางกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธีการนี้ก็ใช้ได้ไม่เลว
2. Subject Directories การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล ของการ Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการ พินิจวิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้ จะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคน ว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้น ๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร
ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูก จัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ เด็ก Search Engine ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับเด็กล้วน ๆ มาให้คุณ
3. Metasearch Engines จุดเด่นของการ Search Engine ด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่น ๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การ search ด้วยวิธีนี้ มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะ ไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language ( ภาษาพูด) ดังนั้น หากคุณจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย
บทสรุปของการเลือกใช้ Search Engine คือ คุณจะต้องเข้าใจว่า วิธีการแต่ละวิธีมีจุดเด่นและจุดด้อย แตกต่างกันไป ฉะนั้นหากคุณจะค้นหาข้อมูลละก็ คุณต้องเลือกวิธีการค้นหาข้อมูลที่เหมาะสมกับ ความละเอียดถูกต้อง ของข้อมูลที่คุณต้องการด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)