tag:blogger.com,1999:blog-40968547460428086002024-02-20T05:26:48.885-08:00หมีพูหมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.comBlogger16125tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-12533067316199152462011-02-01T19:04:00.001-08:002011-02-01T19:16:55.316-08:00การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสาขาความมั่นคงของชาติ บันเทิง และเทคโนโลยีของแนวโน้มโลก<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td class="thead6" height="10"><strong>การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาด้านความมั่นคงของชาติและทางทหาร</strong> </td></tr>
<tr><td><div class="tindent">ด้านกฎหมายและการปกครอง ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสรุปคดีทุกคดีว่าใครฟ้องใคร เรื่องอะไร ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ตัดสินว่าอย่างไร เข้าคอมพิวเตอร์ทั้งหมด หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์ก็จะช่วยงานได้หลายอย่าง เช่น ต้องการทราบว่ารัฐธรรมนูญฉบับไหนเหมือนหรือแตกต่างกับฉบับไหนมากน้อยเท่าใด ก็ให้คอมพิวเตอร์ค้นหา และวิเคราะห์เปรียบเทียบพิมพ์ลงได้ หรือต้องการทราบว่าคดีแบบไหนเคยมีฟ้องร้องแล้วศาลตัดสินอย่างไร ก็ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยหาให้ก็จะได้คำตอบภายในเวลาไม่กี่นาที</div><div class="tindent"><span class="tindent">ด้านรัฐสภา เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการสนับสนุน และการดำเนินบทบาทด้านการพัฒนาประชาธิปไตยเป็นอย่างมากต่องานรัฐสภา ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านนิติบัญญัติ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ รัฐสภาได้มีการปรับปรุงระบบงานใหม่ พร้อมดึงเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในกิจการงานสภา ศึกษาวิเคราะห์ระบบงานรัฐสภาทั้งหมดและจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ ขึ้นมากำกับดูแลงานด้านคอมพิวเตอร์ พร้อมพัฒนาฐานข้อมูลรัฐสภาขึ้นระหว่างปีพ.ศ. 2535-2540</span></div><div class="tindent">ด้านการทหารและกองบัญชาการทหารสูงสุด การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในด้านการทหารแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ</div><div class="tindent">ด้านการสื่อสาร และภูมิศาสตร์</div><ul><li><span class="tindent">มีการนำดาวเทียมทหารมาใช้เพื่อกิจการด้านความมั่นคงทางทหาร เพราะสามารถส่งข้อมูลข่าวสารซึ่งเป็นความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะด้านการทหารซึ่งไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ </span></li>
<li>การถ่ายภาพภูมิศาสตร์ จำลองลักษณะภูมิศาสตร์ในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อความสะดวก ในการจัดทำยุทธภูมิและการวางแผนป้องกันประเทศ </li>
</ul></td></tr>
<tr><td><div align="center"><img height="242" src="http://www.pbj.ac.th/IT11/pic_lesson/c8_4.JPG" width="290" /><img height="174" src="http://www.pbj.ac.th/IT11/pic_lesson/c8_5.JPG" width="85" /><br />
การถ่ายภาพภูมิศาสตร์และใช้เทคโนโลยีหาพิกัดภูมิศาสตร์และจัดเก็บข้อมูล (www.vtt.fi/tte/projects/WAMPPI/results.text.html) </div></td></tr>
<tr><td></td></tr>
<tr><td><div class="tindent">ด้านอาวุธ และอุปกรณ์การรักษาความมั่นคงของประเทศ</div><ul><li>ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการประดิษฐ์อาวุธที่ทันสมัย สามารถกำหนดพิกัดการยิงโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ในการคำนวณระยะทาง และวิถีการตกของระเบิดได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ </li>
<li>ทางด้านการทหารได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับเครื่องตรวจจับ อาวุธสงคราม รวมถึงเครื่องบินที่รุกล้ำเข้ามาใน เขตน่านฟ้าของประเทศไทย </li>
<li>มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัย เกี่ยวกับข้อมูลผู้ไม่ประสงค์ดี มาสร้างเป็น แบบจำลองการป้องกันประเทศ </li>
</ul></td></tr>
<tr><td class="thead6" height="10" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="http://www.pbj.ac.th/IT11/system/btab.gif" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><strong><img align="absMiddle" border="0" height="11" src="http://www.pbj.ac.th/IT11/system/btab.gif" width="11" /></strong></a><strong> การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาบันเทิง</strong> </td></tr>
<tr><td class="tindent">ยุคของสังคมสารสนเทศที่มีลักษณะการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงทำให้เกิด อีซีนีม่า (E-cinema) กิจกรรมต่างๆ สำหรับสมาชิกที่เข้ามาใช้ อีซีนีม่า คือ เปิดออนไลน์ บุ๊คกิ้งมีการเปิดให้จองตั๋วและเลือกที่นั่งทางเว็บไซต์ ลูกค้าสามารถจ่ายเงินในเว็บได้เลยโดยผ่านบัตรเครดิต ธุรกิจด้านอีซีนีม่านี้นับได้ว่ามีประโยชน์มหาศาล เพราะทางเจ้าของกิจการได้มีการบอกข่าวสารบางอย่างที่ลูกค้าไม่รู้ทุกอย่างรวมอยู่ในเว็บ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในเชิงธุรกิจ ทั้งได้รับการตอบรับสูงจากลูกค้า ของการเปิดจองทั้งระบบ ซึ่งปัจจุบันบริการทั้งระบบโทรศัพท์และระบบออนไลน์ </td></tr>
</tbody></table><br />
ที่มา : <a href="http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm"><span style="color: black;">http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm</span></a>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-70127819379637517932011-02-01T18:33:00.000-08:002011-02-01T18:33:04.705-08:00การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสาขาสื่อสารโทรคมนาคมและหน่วยงานราชการ<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td class="thead6" height="26"><strong>การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการสื่อสารและโทรคมนาคม</strong> </td></tr>
<tr><td><div class="tindent">การประยุกต์ใช้ในงานประเภทนี้ได้แก่ การบริการโทรศัพท์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี การค้นคืนสารสนเทศระบบออนไลน์ ดาวเทียม และโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล (ISDN) เป็นต้น ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสารข้อมูล และโทรคมนาคมที่น่าสนใจ ได้แก่เทคโนโลยีต่างๆ ดังนี้</div><div class="tindent45">ดาวเทียม (Satellite) เป็นสิ่งที่มนุษย์เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น แล้วส่งไปโคจรรอบโลก รอบดาวเคราะห์ต่างๆ ดาวฤกษ์ต่างๆ หรือเพื่อให้ท่องเที่ยวไปในอวกาศและจักรวาลตามวิถีที่ได้มีการกำหนดไว้ก่อน ดาวเทียม จำแนกได้หลายประเภทซึ่งขึ้นกับลักษณะการใช้งานเช่น ดาวเทียมวิทยาศาสตร์ (Scientific Satellite) ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในงานค้นคว้าวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ ดาวเทียมการทหาร (Military Satellite) แบ่งเป็นประเภทย่อยได้ เช่น ดาวเทียมจารกรรม ดาวเทียมเตือนภัยล่วงหน้า ดาวเทียมต่อต้านจรวด และดาวเทียมจู่โจมหรือระดมยิง เป็นต้น ดาวเทียมนำทาง (Navigational Satellite) ดาวเทียมประเภทนี้ใช้ประโยชน์มากในเรือดำน้ำ การวางแผนเส้นทางเดินเรือและเส้นทางการบิน ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรบนผิวโลกและในมหาสมุทร (Earth and Ocean Resources Satellite) มีจุดประสงค์เพื่อใช้ศึกษาธรณีวิทยา พืชพรรณ ตลอดจนมหาสมุทร และดาวเทียมโทรคมนาคม (Telecommunication Satellite) ใช้ในกิจการการสื่อสารในระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ </div></td></tr>
<tr><td height="425"><div align="center"><img height="325" src="http://www.pbj.ac.th/IT11/pic_lesson/c8_3.JPG" width="451" /><br />
ตัวอย่างการนำดาวเทียมมาประยุกต์ใช้ในระบบ GPS เพื่อระบุตำแหน่งพิกัดทางภูมิศาสตร์ อำนวยความสะดวกด้านโทรคมนาคม (www.aso.com, www.pocketpcmaq.com ) <br />
</div></td></tr>
<tr><td class="tindent45">โครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล (Integrated Service Digital Netwonk- ISDN) ระบบ ISDN หรือที่เรียกว่า Integrated Service Digital Netwonk ซึ่งเป็นระบบที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย นำมาใช้เพื่อให้บริการส่งข้อมูลในลักษณะโครงข่าย ISDN โดยเป็นโครงข่ายโทรคมนคมความเร็วสูงในระบบดิจิทัลที่สามารถส่งทั้งสัญญาณ เสียง และข้อมูลต่างๆ ร่วมไปในสายเส้นเดียวกัน และสามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายโทรศัพท์ในปัจจุบัน (PSTN) รวมทั้งการเชื่อมต่อกับโครงข่ายส่วนบุคคลอื่น (Private Network) เพื่อติดต่อกับผู้ใช้บริการรายอื่นได้ทั่วประเทศ <br />
โครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล (Integrated Service Digital Netwonk- ISDN) ระบบ ISDN หรือที่เรียกว่า Integrated Service Digital Netwonk ซึ่งเป็นระบบที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยนำมาใช้เพื่อให้บริการส่งข้อมูลในลักษณะโครงข่าย ISDN โดยเป็นโครงข่ายโทรคมนคมความเร็วสูงในระบบดิจิทัลที่สามารถส่งทั้งสัญญาณ เสียง และข้อมูลต่างๆ ร่วมไปในสายเส้นเดียวกัน และสามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายโทรศัพท์ในปัจจุบัน (PSTN) รวมทั้งการเชื่อมต่อกับโครงข่ายส่วนบุคคลอื่น (Private Network) เพื่อติดต่อกับผู้ใช้บริการรายอื่นได้ทั่วประเทศ<br />
เนื่องจากระบบ ISDN เป็นแบบดิจิทัลทั้งหมด ตลอดปลายทาง ไม่ต้องมีการแปลงสัญญาณ ทำให้ความเพี้ยนของสัญญาณมีน้อยมาก ตลอดจนสิ่งรบกวน(Noise) ก็จะลดน้อยลงด้วยทำให้ข้อมูลข่าวสารที่รับส่งในโครงข่าย ISDN มีความถูกต้อง ไว้วางใจได้สูงกว่าระบบเดิม ความเร็วในการรับส่ง 64 Kbps ต่อวงจร ทำให้สามารถรับส่งสัญญาณเสียง ข้อมูล ภาพ ตัวอักษร ในปริมาณมากและรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม <br />
สำหรับการบริการของระบบ ISDN ในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นนอกจากการส่งข้อมูลเสียงแล้ว ยังบริการข้อมูลอื่นๆ อีก อาทิ ระบบโทรศัพท์แบบใหม่ซึ่งสามารถแสดงหมายเลขโทรศัพท์ ชื่อ ตลอดจนที่อยู่ของผู้ที่เรียกมา และระบบโทรศัพท์ที่สามารถเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถแสดงข้อมูลของผู้ที่เรียกเข้ามาได้ นอกจากนี้ระบบ ISDN ยังช่วยให้มีการติดต่อเพื่อพูดคุยพร้อมกันหลายๆ สายได้ อีกทั้งมีระบบไปรษณีย์เสียง (voice mail) กล่าวคือ หากผู้ที่โทรเรียกไปพบว่าสายไม่ว่างหรือไม่มีผู้รับก็อาจจะทิ้งข้อความไว้ และเมื่อผู้รับเข้าสู่ระบบ ข้อความที่ฝากไว้ก็จะถูกถ่ายทอดให้แก่ผู้นั้นได้ทันที นอกจากนี้ยังมีการบริการให้แก่โรงแรมต่างๆ ในการปลุกผู้เข้าพักโดยอัตโนมัติอีกด้วย <br />
โทรสาร (Facsimile) โทรสารหรือแฟ็กซ์ (Fax) เป็นวิวัฒนาการด้านอุปกรณ์การสื่อสารข้อมูล ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อส่งผ่านสารสนเทศจากต้นแหล่งไปยังผู้รับปลายทาง โดยใช้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูง ระบบการทำงานของเครื่องโทรสารเป็นกระบวนการที่เครื่องส่งฉายแสงไปที่เอกสาร รูปถ่าย ภาพเขียน หรือสัญลักษณ์ต่างๆ อันเป็นต้นฉบับ เพื่อเปลี่ยนภาพหรืออักษรเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งไปตามช่องทางคมนาคมต่างๆ อาทิ ไมโครเวฟ สายโทรศัพท์ เครื่องส่งวิทยุ เมื่อเครื่องรับปลายทางได้รับสัญญาณดังกล่าว ก็จะเปลี่ยนสัญญาณนั้นให้ปรากฏเป็นภาพหรือข้อความตรงตามต้นฉบับ<br />
โทรภาพสาร (Teletext) โทรภาพสารหรือเทเลเท็กซ์เป็นระบบรับ-ส่งสารสนเทศผ่านคลื่นวิทยุโทรทัศน์ ส่งออกอากาศได้ในเวลาเดียวกันกับที่มีการออกอากาศรายการโทรทัศน์ตามปรกติ สารสนเทศจะถูกส่งออกอากาศเป็นหน้าๆ เหมือนหน้าหนังสือทั่วไป ผู้ชมสามารถใช้การควบคุมระยะไกล (Remote Control) เรียกสารสนเทศนั้นออกมาดูได้ตามต้องการ หรือเลือกดูเฉพาะข้อความที่ต้องการและหยุดดูได้นานตามต้องการ ไม่ต้องรอดูตั้งแต่หน้าแรก และยังสามารถรับชมรายการโทรทัศน์ได้ตามปกติ ผู้ที่มีเครื่องรับธรรมดาจะรับสารสนเทศทางเทเลเท็กซ์ได้ด้วยการติดตั้งแผ่นวงจรพิเศษ กับเครื่องรับโทรทัศน์ <br />
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic mail : E-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นทางเลือกขั้นต้น ในการให้บริการจดหมายทางไปรษณีย์โดยอัตโนมัติ แนวความคิดเกี่ยวกับไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ครอบคลุมถึงเรื่อง Broad Spectrum ด้วย กล่าวคือสารจะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าแล้วจึงถูกส่งออกไป ดังนั้น กระบวนการของระบบจึงเป็นลักษณะเดียวกับระบบโทรสาร<br />
ข้อมูลนำเข้าและข้อมูลผลลัพธ์จากระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ อาจปรากฏในรูปของ Video Terminal, Word Processor, โทรสาร, Data Terminal Computer Vision และระบบการสื่อสารด้วยเสียง การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จำเป็นต้องอาศัยข่ายงานโทรคมนาคม ไปรษณีย์ อิเล็คทรอนิกส์ที่มีข้อความสำคัญและประสงค์การส่งอย่างรวดเร็ว อาจกระทำได้โดยส่งผ่านออกไปในรูปแบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ผ่านข่ายงานข้อมูลที่เรียกว่า Computerize Switching System <br />
การประชุมทางไกล (Teleconference) เป็นรูปแบบการสื่อสารหรือการประชุมระหว่างคนหลายๆ คน โดยไม่ต้องอยู่ต่อหน้ากัน และใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นกลไกสำคัญในการสื่อสาร การประชุมทางไกลมี 3 วิธีการ คือ 1) การประชุมทางไกลด้วยเสียงและภาพ 2) การประชุมทางไกลด้วยเสียง 3) การประชุมทางไกลด้วยคอมพิวเตอร์ จะใช้คอมพิวเตอร์ส่งสาระของการประชุมระหว่างกัน ผ่านระบบออนไลน์ </td></tr>
<tr><td class="thead6" height="10" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="http://www.pbj.ac.th/IT11/system/btab.gif" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><strong><img align="absMiddle" border="0" height="11" src="http://www.pbj.ac.th/IT11/system/btab.gif" width="11" /></strong></a><strong> การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในหน่วยงานราชการต่างๆ</strong> </td></tr>
<tr><td><div class="tindent">สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ (Government Information Technology Services - GITS) ลักษณะงานของสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ จะให้บริการเครือข่ายสารสนเทศภาครัฐ (Government Information Network) เพื่อตอบสนองการบริหารงานสำหรับหน่วยงานของภาครัฐอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง ส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการดำเนินงาน อันนำไปสู่การเป็น E-government และเป็นศูนย์กลางส่งเสริมให้เกิดระบบการเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างภาครัฐและประชาชน </div></td></tr>
<tr><td><div class="tindent">สำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation - OA) สำนักงานอัตโนมัติที่หน่วยงานของรัฐจัดทำขึ้นมีชื่อว่า IT Model Office เป็นโครงการนำร่องที่จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาระบบเครือข่ายพื้นฐานของภาครัฐ ในรูปของสำนักงานอัตโนมัติ เช่น งานสารบรรณ งานจัดทำเอกสารและจัดส่งทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ งานแฟ้มเอกสาร งานบันทึกการนัดหมายผู้บริหาร ซึ่งระบบงานที่สำคัญมีดังนี้คือ</div><ul><li>ระบบนำเสนอข้อมูลข่าวสารสำหรับผู้บริหาร </li>
<li>ระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แบบปลอดภัย ได้มีการนำเทคโนโลยีลายเซ็นต์ดิจิทัล (Digital signature) เข้ามาช่วยในการยืนยันผู้ส่งและยืนยันความแท้จริงของอีเมล </li>
</ul></td></tr>
<tr><td class="tindent">อินเทอร์เน็ตตำบล เป็นการวางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ตำบลต่างๆ ทั่วประเทศสามารถเข้าใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในด้านต่างๆ เช่น หน่วยงานของรัฐ และองค์กรต่างๆ สามารถมีส่วนร่วมในการจัดทำและใช้ประโยชน์จากระบบอินเทอร์เน็ตตำบล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยงานที่อยู่ ณ ตำบลและใกล้ชิดกับประชาชน ก็จะมีความสำคัญและความรับผิดชอบในการจัดทำ ตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูล รวมทั้งให้บริการแก่กลุ่มชนต่างๆ </td></tr>
<tr><td><div class="tindent">การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสรรพกร เนื่องจากกรมสรรพากรทำหน้าที่เป็นเหมือนแหล่งรายได้ของรัฐบาล รายได้จากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรมีมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมของประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจำต้องให้ความสำคัญกับระบบการจัดเก็บ ข้อมูลและประวัติของผู้เสียภาษีอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังต้องการข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์เพื่อทำ Macro Model หรือแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ให้กับประเทศอีกด้วย ปัจจุบันกรมสรรพกรได้จัดทำโครงการ E-revenue ซึ่งเป็นบริการเสียภาษีออนไลน์ นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์ด้านการพาณิชย์ มีบริการโปรแกรมประการยื่นแบบ บริการแบบพิมพ์ บริการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งอำนวยความสะดวก รวดเร็ว มากยิ่งขึ้นต่อประชาชนผู้ใช้บริการ </div><div class="tindent"><br />
</div><div class="tindent">ที่มา : <a href="http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm"><span style="color: black;">http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm</span></a></div></td></tr>
</tbody></table>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-61101520186371130752011-02-01T18:21:00.003-08:002011-02-01T18:21:38.125-08:00การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสาขาอุตสาหกรรมการผลิต การแพทย์<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td class="thead6" height="10"><strong>การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาอุตสาหกรรมและการผลิต</strong> </td></tr>
<tr><td class="tindent">โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งนำระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System-MIS) เข้ามาช่วยจัดการงานด้านการผลิต การสั่งซื้อ การพัสดุ การเงิน บุคลากร และงานด้านอื่นๆ ในโรงงาน ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานอุตสาหกรรมเช่น อุตสาหกรรมการพิมพ์ อุตสาหกรรมประเภทนี้ ใช้ระบบการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Publishing) ในการจัดเตรียมต้นฉบับ วิดีโอเท็กซ์ วัสดุย่อส่วน และเทเลเท็กซ์ได้ รวมทั้งการพิมพ์ภาพโดยใช้เทอร์มินัลนำเสนอภาพ (Visual Display Terminal) ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ มีการใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบรถยนต์ ปฏิบัติการการผลิต (เช่น การพ่นสี การเชื่อมอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ฯลฯ) การขับเคลื่อน การบริการ และการขาย รวมทั้งออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถปฏิบัติงานในโรงงานได้ในรูปแบบหุ่นยนต์ </td></tr>
<tr><td class="thead6" height="10"><img align="absMiddle" border="0" height="11" src="http://www.pbj.ac.th/IT11/system/btab.gif" width="11" /> <strong>การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาสาธารณสุขและการแพทย์</strong> </td></tr>
<tr><td class="tindent">งานด้านสาธารณสุขเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ระบบบริหารได้นำเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ในงานต่างๆ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วย การสร้างเครือข่ายข้อมูลทางการแพทย์ แลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ป่วย การให้คำปรึกษาทางไกลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชำนาญ เทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยให้แพทย์สามารถเห็นหน้าหรือท่าทางของผู้ป่วยได้ ช่วยให้ส่งข้อมูลที่เป็นเอกสารหรือภาพเพื่อประกอบการพิจารณาของแพทย์ได้ ส่วนด้านให้ความรู้หรือการเรียน การสอนทางไกล ด้วยระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เป็นต้น </td></tr>
<tr><td><div class="tindent">ระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine)</div><div class="tindent45">ระบบแพทย์ทางไกลเป็นการนำเอาความก้าวหน้า ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมมาประยุกต์ใช้กับงานทางการแพทย์ โดยการส่งสัญญาณผ่านสื่อซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณดาวเทียม (Satellite) หรือใยแก้วนำแสง (Fiber optic) แล้วแต่กรณีควบคู่ไปกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แพทย์ต้นทางและปลายทางสามารถติดต่อกันด้วยภาพเคลื่อนไหวและเสียง ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลคนไข้ระหว่างกันได้ </div></td></tr>
<tr><td><div align="center"><img height="195" src="http://www.pbj.ac.th/IT11/pic_lesson/c8_2.JPG" width="232" /><br />
รูปแสดงตัวอย่างระบบแพทย์ทางไกล </div></td></tr>
<tr><td><div class="tindent">ระบบการปรึกษาแพทย์ทางไกล (Medical Consultation) </div><div class="tindent">เป็นระบบการปรึกษาระหว่างโรงพยาบาลกับโรงพยาบาล (One to One) ซึ่งจะสามารถใช้งานพร้อมๆ กันได้ เช่น ในขณะที่โรงพยาบาลที่ 1 ปรึกษากับโรงพยาบาล ที่ 2 อยู่ โรงพยาบาลที่ 3 สามารถขอคำปรึกษาจากโรงพยาบาลที่ 4 และโรงพยาบาลที่ 5 สามารถขอคำปรึกษาจาก โรงพยาบาลที่ 6 ได้ ระบบการปรึกษาแพทย์ทางไกล ประกอบด้วยระบบย่อยๆ 3 ระบบดังนี้คือ</div><div class="tindent45">1) ระบบ Teleradiology เป็นระบบการรับส่งภาพ X-Ray โดยผ่านการ Scan Film จาก High Resolution Scanner เพื่อเก็บลงใน File ของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะมีการส่ง File ดังกล่าวไปยังโรงพยาบาลที่จะให้คำปรึกษา</div><div class="tindent45">2) ระบบ Telecardiology เป็นระบบการรับส่งคลื่นหัวใจ (ECG) และเสียงปอด เสียงหัวใจ โดยผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อมายังอุปกรณ์คอมพิวเตอร์</div><div class="tindent45">3) ระบบ Telepathology เป็นระบบรับส่งภาพจากกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) ซึ่งอาจจะเป็นภาพเนื้อเยื่อ หรือภาพใดๆ ก็ได้จากกล้องจุลทรรศน์ทั้งชนิด Monocular และ Binocular ระบบนี้เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อกับกล้องจุลทรรศน์ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในโรงพยาบาลต่างๆ อยู่แล้ว </div></td></tr>
<tr><td><div class="tindent">ระบบเชื่อมเครือข่ายข้อมูลและโทรศัพท์ (Data and Voice Network) </div><div class="tindent45">ระบบเชื่อมเครือข่ายข้อมูลเป็นระบบการใช้งานเชื่อมต่อจากโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งเป็นจุดติดตั้งของโครงการฯ มายังสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้สามารถใช้บริการทางด้านเครือข่ายข้อมูลต่างๆ คือระบบ Internet ระบบ CD-ROM Server ระบบ ฐานข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข</div><div class="tindent45">ส่วนระะบบ CD-ROM Server เป็นระบบที่ให้บริการฐานข้อมูลทางการแพทย์จำนวน 5 ฐานข้อมูล ได้แก่ ฐานข้อมูล Medline Standard ฐานข้อมูล Drugs and Pharmacology ฐานข้อมูล Nursing ฐานข้อมูล Health Planning และฐานข้อมูล Excerpta Medica จำนวน 3 modules ได้แก่ Cardiology, Gestro Intestinal, Nephrology </div><div class="tindent45"><br />
</div><div class="tindent45"><br />
</div><div class="tindent45"><a href="http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm">http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm</a></div><div class="tindent45"><br />
</div></td></tr>
</tbody></table>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-40234828330227557642011-02-01T18:21:00.000-08:002011-02-01T18:21:22.405-08:00การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสาขาการศึกษาธุรกิจพาณิชย์และสำนักงาน<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td class="thead6" height="10"><div style="text-align: center;">การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาธุรกิจ พาณิชย์และสำนักงาน </div></td></tr>
<tr><td><div class="tindent">E-commerce: Electronic Commerce</div><div class="tindent45">E-commerce หรือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรรมในเชิงธุรกิจทุกประเภทที่กระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมทั้งการซื้อขาย การแลกเปลี่ยนสินค้าและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งสินค้า การชำระเงิน และการบริการด้านข้อมูล เป็นต้น E-commerce นั้นสามารถให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และไม่จำกัดขอบเขตของผู้ใช้บริการและระยะเวลาทำการของหน่วยงาน</div><div class="tindent45">สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง สื่อที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือหลัก ในการปฏิบัติงานและติดต่อสื่อสารข้อมูล ใน E-commerce สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของเรา ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อเคเบิลทีวี เครื่องโทรสาร โทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่อง ATM ระบบการชำระเงินและโอนเงินอัตโนมัติ รวมทั้งเครือข่ายอินเทอร์เน็ต</div></td></tr>
<tr><td><div class="tindent">E-business </div><div class="tindent45">E-business เป็นธุรกิจเชิงอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตที่กว้างกว่า E-commerce เนื่องจากเป็นการพิจารณาถึงองค์ประกอบทุกส่วนของการดำเนินธุรกิจ มิได้พิจารณาเพียงเฉพาะกิจกรรมการซื้อ-ขายเท่านั้น เป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจผนวกกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ และปรับปรุงธุรกิจให้มีความเป็นระบบ สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มศักยภาพของธุรกิจด้วยการดำเนินธุรกิจให้กลายเป็นรูปแบบ Online และครอบคลุมได้ทั่วโลก </div></td></tr>
<tr><td><div class="tindent">การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange: EDI) </div><div class="tindent45">การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EDI เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการรับ - ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย เช่น โทรศัพท์ สายเคเบิล ดาวเทียม เป็นต้น แทนการส่งเอกสารโดยพนักงานส่งสารหรือไปรษณีย์ ระบบ EDI จะต้องใช้รูปแบบของเอกสารที่เป็นมาตรฐานเพื่อให้หน่วยงานทางธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ </div><div class="tindent45">สำหรับมาตรฐานของ EDI ในประเทศไทยถูกกำหนดโดยกรมศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานแรกที่นำระบบนี้มาใช้งาน คือ มาตรฐาน EDIFACT (Electronic Data Interchange for Administration, Commerce and Transport) ตัวอย่างของเอกสารที่นำมาใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลด้วยระบบ EDI เช่น ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสนอราคา ใบกำกับสินค้า ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี เป็นต้น </div><div class="tindent45">ประโยชน์ของการใช้ระบบ EDI </div><dd><ul><li>ลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดส่งเอกสาร </li>
<li>ลดเวลาทำงานในการป้อนข้อมูล ทำให้ข้อมูลมีความถูกต้อง และลดข้อผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลที่ซ้ำซ้อน </li>
<li>เพิ่มความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร </li>
<li>ลดค่าใช้จ่ายและภาระงานด้านเอกสาร </li>
<li>แก้ปัญหาอุปสรรคทางภูมิศาสตร์และเวลา </li>
</ul></dd></td></tr>
<tr><td><div class="tindent"><span class="thead">ระบบสำนักงานอัตโนมัต</span>ิ</div><div class="tindent45">ปัจจุบันสำนักงานจำนวนมากได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อให้งานบังเกิดผลในด้านบวก อาทิ ความสะดวกรวดเร็ว ความถูกต้อง และสามารถทำสำเนาได้เป็นจำนวนมาก เป็นต้น อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้ได้แก่ เครื่องพิมพ์ดีดอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ เทเลเท็กซ์ เครื่องเขียนตามคำบอกอัตโนมัติ (Dictating Machines) เครื่องอ่านและบันทึกวัสดุย่อส่วน เครื่องถ่ายเอกสารแบบหน่วยความจำ เครื่องโทรสาร ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้ นำไปประยุกต์ใช้กับงานสำนักงาน ดังนั้นการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในระบบสำนักงาน จึงเรียกว่า ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ซึ่งเทคโนโลยีดังที่กล่าวมานำไปประยุกต์ใช้กับงานสำนักงานได้ในหลายลักษณะ เช่น งานจัดเตรียมเอกสาร งานกระจายเอกสาร งานจัดเก็บและค้นคืนเอกสาร งานจัดเตรียมสารสนเทศในลักษณะภาพ งานสื่อสารสนเทศด้วยเสียง งานสื่อสารสารสนเทศด้วยภาพและเสียง เป็นต้น </div></td></tr>
</tbody></table> <a href="http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm">http://www.pbj.ac.th/IT11/C8.htm</a>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-17687980755006413852011-01-18T19:53:00.000-08:002011-01-18T20:06:51.026-08:00เทคนิคและการใช้โปรแกรมเบราว์เซอร์ค้นหาข้อมูล<strong><span style="color: #cc00ff; font-family: MS Sans Serif;"><span style="color: black;">เทคนิค 8 ประการที่ควรรู้ในการค้นหาข้อมูล</span> </span></strong><br />
<br />
<pre><span style="color: black; font-size: small;"><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong><span style="color: #cc00ff;"> </span></strong>ในการค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่ผู้ใช้งานทั่วไปมักจะพบเห็น หรือประสบอยู่เสมอๆก็คงจะหนี
ไปไม่พ้นข้อมูลที่ค้นหาได้มีขนาดมากจนเกินไป ดังนั้นเพื่อ ความสะดวกในการใช้งานคุณจึงน่าที่จะเรียนรู้เทคนิคต่างๆเพื่อ
ช่วยลดหรือจำกัดคำที่ค้น หาให้แคบลงและตรงประเด็นกับเรามากที่สุด
1. เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด ส่วนจะเลือกใช้วิธีไหนก็ตามแต่คุณจะเห็นว่า เหมาะสม
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ชี้ เฉพาะเจาะจง ก็ควรเลือกบริการสืบค้นข้อมูล
แบบ Index อย่างของ sanook เพราะ โอกาสที่จะเจอนั้น เปอร์เซ็นต์สูงกว่าจะมานั่งสุ่ม
หาโดยใช้วิธีแบบ Search Engine
2. ใช้คำมากกว่า 1 คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกันช่วยค้นหา เพราะจะได้ผลลัพท์ที่มีขนาด แคบลงและชี้เฉพาะมากขึ้น
(ย่อมจะดีกว่าหาคำเดียวโดดๆ) เช่น kanchanaburi+kemapat
3. ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน เช่น การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของ ภาพยนตร์ก็น่าที่จะเลือกใช้
Search Engine ที่ให้บริการใหล้เคียงกับเรื่องพวกนี้ เพราะผลลัพท์ที่ได้น่าจะเป็นที่น่าพอใจกว่า
4. ใส่เครื่องหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำที่ต้องการ เพื่อบอกกับ Search Engine ว่าเรา ต้องการผลการค้นหาที่มีคำใน
กลุ่มนั้นครบและตรงตามลำดับที่เราพิมพ์ทุกคำ เช่น "kemapat school" เป็นต้น
5. การขึ้นต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจว่าเราต้องการ ให้มันค้นหาคำดังกล่าวแบบ
ไม่ต้องสนใจว่าตัวอักษรที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ดังนั้นหากคุณต้องการอยากที่จะให้มันค้นหาคำตรงตามแบบที่
เขียนไว้ก็ให้ใช้ตัว อักษรใหญ่แทน
6. ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยค้นหา มีอยู่ 3 ตัวด้วยกันคือ
- AND สั่งให้หาโดยจะต้องมีคำนั้นๆ มาแสดงด้วยเท่านั้น! โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องติดกัน เช่น
thailand and kanchanaburi เป็นต้น
- OR สั่งให้หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลงไปมาแสดง
- NOT สั่งไม่ให้เลือกคำนั้นๆมาแสดง เช่น thailand and kanchanaburi not goft หมายความว่า ให้ทำการหา
เว็บที่เกี่ยวข้องกับ thailand และ kanchanaburi แต่ต้องไม่มี goft เป็นต้น
7. ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ + หน้าคำที่ต้องการจริงๆ
- (ลบ)ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ
() ช่วยแยกกลุ่มคำ เช่น (pentium+computer)cpu
8. ใช้ * เป็นตัวร่วม เช่น com* เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำว่า com ขึ้นหน้าส่วนด้านท้ายเป็น อะไรไม่สนใจ
*tor เป็นการให้หาคำที่ลงท้ายด้วย tor ด้านหน้าจะเป็นอะไรไม่สนใจ </span></span></pre><br />
<br />
<span style="color: black; font-family: MS Sans Serif; font-size: small;">ที่มา <a href="http://www.kemapat.ac.th/search8.htm"><span style="color: black;">http://www.kemapat.ac.th/search8.htm</span></a></span><br />
<br />
<div class="PostHead"><div class="PHT"></div><h1>พฤติกรรมการค้นหาข้อมูล จากเว็บเบราว์เซอร์</h1><small class="PostTime">Sep 7, 2010 </small><small class="PostDet"><span style="color: #999781; font-size: xx-small;">Author: mk | Filed under: </span><a href="http://www.usably.net/?cat=8" rel="category" title="View all posts in Analyze"><span style="color: #999999; font-size: xx-small;">Analyze</span></a></small> </div><div class="PostContent">Firefox 4 นั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์ <a href="https://testpilot.mozillalabs.com/"><span style="color: #ff3399;">Test Pilot </span></a>ซึ่งจะช่วยให้ Mozilla มีข้อมูลดิบไปใช้ประกอบการตัดสินใจออกแบบโปรแกรมในอนาคต (เป็นตัวอย่างที่ดีของ data-driven design) ซึ่งผมก็ยินดีให้ความร่วมมือ ยอมให้ Mozilla มาเก็บข้อมูลของเราไปใช้งาน (Mozilla ก็ถือเป็นองค์กรที่เชื่อถือได้ว่าจะไม่แอบเอาข้อมูลส่วนตัวของเราไปใช้)<br />
ล่าสุดเปิดมาเจอว่าชุดทดสอบ <a href="https://testpilot.mozillalabs.com/testcases/searchui"><span style="color: #ff3399;">Search Interface</span></a> มันเด้งขึ้นมาบอกว่า เก็บข้อมูลเสร็จแล้ว พร้อมส่งไปยัง Mozilla หรือไม่ ก่อนกดส่งก็พบว่ามันแสดง "พฤติกรรม" ในการค้นหาข้อมูลของเราให้เห็นด้วย คิดว่าน่าสนใจดีเลยเอามาเขียนถึงเสียหน่อย<br />
<img alt="canvas" class="aligncenter size-full wp-image-566" height="244" src="http://www.usably.net/wp-content/uploads/2010/09/canvas.png" title="canvas" width="397" />พฤติกรรมการใช้งานของผมคือ ค้นผ่านการเปิดเว็บมากที่สุด (คือพิมพ์ Google แล้วค่อยค้นจากเว็บ) ส่วน Search Box ก็ใช้บ้างประมาณ 22% แต่อันที่แทบไม่ใช้เลยคือ URL bar เพราะ mindset เรารู้สึกว่ามันไม่ใช้สำหรับค้นของ (ต่างจาก Omnibar ของ Chrome) สุดท้าย context menu (ลากคำ คลิกขวาแล้วกด search) อันนั้นนานๆ ใช้ทีแต่ใช้ทีไรก็รู้สึกว่ามันสะดวกอยู่<br />
<br />
ที่มา <a href="http://www.usably.net/"><span style="color: black;">http://www.usably.net/</span></a></div>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-42120555898681934272011-01-18T19:44:00.000-08:002011-01-18T19:44:58.983-08:00เว็บไซต์ค้นหาที่ได้รับความนิยมและการใช้ Search Engines<span style="color: navy;"><b> <h4 class="beTitle" id="subjcns!C6A83A39A6E3D506!166">เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลที่ได้รับความนิยม</h4><div class="bvMsg" id="msgcns!C6A83A39A6E3D506!166"><div align="center" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;">เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลที่ได้รับความนิยม</span></b></div><div align="center" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;">ที่มา:http://www.ku.ac.th/magazine_online/search_engine.html</span></b></div><span><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"> การพิมพ์ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มีอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เชื่อกันว่าข้อมูลข่าวสารที่จัดพิมพ์ในรูป </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">Web <span lang="TH">หรือโฮมเพ็จเพื่อเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต มีมากกว่า </span>1000 <span lang="TH">ล้านหน้า (</span>1000 <span lang="TH">หน้า </span>URL reference) </span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">เมื่อข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ตมีมากมายเช่นนี้ ทำให้ระบบการค้นหาเป็นเรื่องที่สำคัญมากยิ่งขึ้น เมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องการเครื่องมือในการค้นหา จึงมีผู้พัฒนาระบบค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">Search Engine <span lang="TH">และสร้างสถานีบริการไว้บนอินเทอร์เน็ต </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">สถานีบริการที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่รู้จักกันดีมีหลายแห่ง เช่น </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><a href="http://www.yahoo.com/"><span style="color: windowtext;"><u>yahoo.com</u></span></a>, <a href="http://www.altavista.com/"><span style="color: windowtext;"><u>altavista.com</u></span></a> <a href="http://excite.com/"><span style="color: windowtext;"><u>excite.com</u></span></a>, <a href="http://webcrawler.com/"><span style="color: windowtext;"><u>webcrawler.com</u></span></a> <span lang="TH">เป็นต้น สถานีบริการเหล่านี้จึงเป็นที่รู้จักและใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนรู้จักกันดี </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">แต่หากพิจารณาข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตกว่าหนึ่งพันล้านหน้า ระบบการค้นหาที่ให้บริการอยู่นี้ยังไม่สามารถเก็บดัชนีค้นหาและให้การค้นหาได้ครบทุกแห่ง จากการประมาณการของสถานีค้นหาที่ใหญ่ที่สุด เช่น </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">yahoo.com <span lang="TH">หรือ </span>altavista.com <span lang="TH">จะค้นหาข้อมูลได้ไม่ถึงครึ่งของเอกสารที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"> หากนำข้อมูลของหนังสือทุกเล่มจากห้องสมุดรัฐสภาอเมริกันมาเก็บรวมกันในรูปดิจิตอล มีผู้คำนวณดูว่าถ้าจะเก็บในรูป </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">ASCII <span lang="TH">จะได้ประมาณ </span>20 <span lang="TH">เทราไบต์ </span>(<span lang="TH">โดยมีหนังสือในห้องสมุดประมาณ </span>20 <span lang="TH">ล้านเล่ม) และข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่เรียกดูได้ทั้งหมดจะรวมกัน น่าจะอยู่ที่ประมาณ </span>14 <span lang="TH">เทราไบต์ อัตราการเพิ่มของข้อมูลที่มีมากกว่า </span>20 <span lang="TH">เปอร์เซนต์ต่อปี ดังนั้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้อมูลที่เก็บในอินเทอร์เน็ตที่เรียกดูได้แบบสาธารณะน่าจะมีมากกว่า </span>100 <span lang="TH">เทราไบต์ </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">หลักการของเครื่องค้นหาที่สำคัญคือโปรแกรมหุ่นยนต์ ที่จะทำงานอัตโนมัติ และวิ่งเข้าไปซอกแซกในอินเทอร์เน็ต พร้อมคัดลอกข้อมูลมาจัดทำดัชนี และจัดโครงสร้างไว้ในฐานข้อมูลเพื่อจะเอื้อประโยชน์ให้ผู้เรียกค้นดูได้ โปรแกรมหุ่นยนต์นี้จะต้องทำงานเป็นระยะและวนกลับมาปรังปรุงข้อมูลใหม่ เพราะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">ที่สำคัญคือข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมีหลากหลายภาษา จีน ไทย ฝรั่ง พม่า ลาว โปรแกรมค้นหาจะชาญฉลาดจัดทำดัชนีเหล่านี้ได้หมดหรือ</span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">? <span lang="TH">เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"> โดยเฉพาะเรื่องภาษาไทย ที่เอกสารเขียนติดกัน คำหลักที่ใช้ค้นหาเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องศึกษาวิจัย เชื่อแน่ว่าโปรแกรมหุ่นยนต์ของฝรั่งที่พัฒนาขึ้นก็ยากที่จะเข้าใจภาษาไทยได้ดี </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">เมื่อเป็นเช่นนี้ทีมงานภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้ดำเนินการทำการวิจัยและพัฒนาสร้าง </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><a href="http://search.ku.ac.th/"><span style="color: windowtext;"><u>Nontri Search</u></span></a> <span lang="TH">ซึ่งเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลที่เอื้อประโยชน์ต่อคนไทยและจะทำให้รู้ใจคนไทยได้มากยิ่งขึ้น </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">การทำงานของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยตัวโปรแกรมหุ่นยนต์ ที่จะเสาะแสวงหาที่อยู่ของเว็บเพ็จต่าง ๆ ปัจจุบันเน้นเฉพาะเว็บเพ็จที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก โดยศึกษาวิเคราะห์จากโครงสร้างไอพีแอดเดรสและข้อมูลจากเนมเซิร์ฟเวอร์ ที่มีการจดทะเบียนใช้งานในเมืองไทย หุ่นยนต์จะลองทำการวิ่งเข้าหาเครื่องแต่ละเครื่องเพื่อคัดลอกข้อมูลมา จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำดัชนีค้นหาไว้</span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"> <br />
<a href="http://search.ku.ac.th/"></a></span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><a href="http://search.ku.ac.th/"></a></span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">สิ่งที่ </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">Nontri Search <span lang="TH">ทำได้ในขณะนี้คือ จะวิ่งค้นหาเป็นรอบ ๆ เพื่อปรับปรุงข้อมูลและดูว่าข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพื่อปรับปรุงดัชนีให้ทันสมัย </span></span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">แทบไม่น่าเชื่อว่า ปัจจุบันภายในประเทศไทย มีข้อมูลเกือบหกแสนหน้า (ยูอาร์แอล) การจัดทำดัชนีจะเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งปัจจุบันในเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่เครื่องหนึ่งรองรับฐานข้อมูลนี้ </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><br clear="all" /></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">การจัดทำดัชนีและจุดอ้างอิงยูอาร์แอล เมื่อผู้ใช้เรียกถาม </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">Nontri Search <span lang="TH">ก็จะเรียกค้นจากฐานข้อมูลแล้วนำมาแสดงให้ การจัดทำดัชนีนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะมีเรื่องราวที่จะต้องปรับแต่งและวิจัยหาความเหมาะสมได้อีกมาก </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">การพัฒนาระบบค้นหาข้อมูลจึงเป็นศาสตร์ที่สำคัญยิ่งสำหรับอนาคต เพราะลองนึกดูว่า ถ้าเราต้องการให้ค้นหาข้อมูลทั้งหมดในอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีกว่าพันล้านยูอาร์แอล มีความจุกว่า </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">14 <span lang="TH">เทราไบต์ ระบบการค้นหาและทำดัชนีจะเป็นระบบที่ซับซ้อนพอดู เพราะต้องให้บริการได้เร็ว </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">งานวิจัย </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">Nontri Search <span lang="TH">จึงเป็นผลงานที่ชาวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้จัดทำขึ้นเพื่อประชาคมอินเทอร์เน็ตที่เป็นคนไทย งานพัฒนานี้จะต้องกระทำต่อไป </span></span></div></span></div></b></span><br />
<span style="color: navy;"><b><a href="http://raktukkonnaka.spaces.live.com/blog/cns!C6A83A39A6E3D506!166.entry">http://raktukkonnaka.spaces.live.com/blog/cns!C6A83A39A6E3D506!166.entry</a></b></span><br />
<br />
<br />
<br />
<span style="color: navy;"><b>การใช้ Search Engines</b></span><br />
<br />
<span style="color: navy;"><b>1. ใช้เครื่องมือแปลเว็บเพ็จให้เป็นประโยชน์</b></span><br />
นอกจากภาษาอังกฤษแล้วที่เราท่านอาจจะอ่านออกบ้าง ไม่ออกบ้างเช่นผม เป็นต้น ถ้าไปเจอภาษาอื่น ๆ<br />
โดยเฉพาะเว็บแคร็กที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ควรจะใช้เครื่องมือแปลภาษาบ้าง จะได้รู้ว่ามันคืออะไร เช่น<br />
หรือซึ่งถ้าใครใช้ MyIE2 อยู่แล้วมันก็มีอยู่ในโปรแกรมแล้ว ตรงลูกครสีเขียวเล็ก ๆ (ปุ่ม Go) ข้าง ๆ จะมีลูกศรอันจิ๋วนั่นแหละครับคลิกเลย<br />
<span style="color: navy;"><b>2. ใช้ Directories</b></span><br />
เจ้านี่จะเป็นตัวช่วยกำจัดข้อมูลที่เราต้องการหาให้เหลือน้อยลงได้เป็นการประหยัดเวลา โดยการหาเฉพาะที่เราต้องการเท่านั้น <br />
<b><span style="color: navy;">3. ใช้ “advanced tips”</span></b><br />
อันนี้ก้วยเจ๋งบวกอึ้งย้งเลย บางอันผมยังไม่เคยทราบ โปรดทราบว่า x ใช้แทนอักษรหรือคำที่เราต้องการ<br />
A. "xxxx" ถ้าเราต้องการหาคำเฉพาะเจาะจง ให้พิมพ์ใส่ในเครื่องหมายฟันหนู อย่าลืมว่า google ไม่ใช่ case sensitive หมายถึงว่า เมื่อเราพิมพ์คำว่า Thailand โดยไม่ได้ใส่เครื่องหมาย มันก็จะหาข้อมูลที่มีคำว่าไทยแลนด์มาให้ดูเป็นกระตั้ก<br />
B. -x / ถ้าใส่เครื่องหมายลบอยู่ข้างหน้าตามด้วย / คำที่อยู่ระหว่าง 2 เครื่องหมายนี้จะไม่ถูกค้นหา<br />
C. filetype:xxx / เป็นการหา file extension โดยเฉพาะครับ (exe, mp3, etc) <br />
D. -filetype:xxx / พอใส่เครื่องหมายลบเพิ่มเป็นการบอกว่าไม่ต้องค้นนะ ไฟล์สกุลนี้ <br />
E. allinurl:x / เป็นการหา URL ที่เราต้องการ อ่านว่า ออลอินยูอาร์แอล:คำที่ต้องการหา <br />
F. allintext:x / หาคำที่ต้องการในหน้าเว็บ<br />
G. allintitle:x / หา html title ในหน้าเว็บนั้น<br />
H. allinanchor:x / หาคำที่ต้องการในลิงค์ที่โชว์อยู่<br />
I. OR นั่นก็คือหรือนั่นเอง หมายถึงให้หาคำนี้หรือคำนั้น<br />
J. ~X ให้หาคำที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน ในกรณีที่เราคิดอะไรไม่ออกอ่ะครับ<br />
<b><span style="color: navy;">4. ใช้จุดกับตัวเลข</span></b><br />
สมมุตินะครับสมมุติว่าผมเป็นเด็ก (ทำไมกลายเป็นน้องพลับไปได้หว่า…) เอาใหม่ เช่นถ้าเราต้องการหาเครื่องเล่น MP3 ราคาอยู่ในราวไม่เกิน $90 เราก็พิมพ์ว่า mp3 player $0..$90 มันก็จะหาให้เราเฉพาะราคาระหว่าง 0~90 เหรียญเท่านั้น เพราะเราใส่จุดไป 2 ตัวนั่นเอง ทิปนี้ใช้กับตัวเลขอื่น ๆ เช่นวันที่ น้ำหนัก ฯลฯ ได้ด้วยครับ<br />
<b><span style="color: navy;">5. ใส่เครื่องหมายบวก +</span></b><br />
เคยพิมพ์คำที่เราต้องการหาแล้วเจอข้อความนี้ไหมครับ<br />
"The following words are very common and were not included in your search:" <br />
เราสามารถใส่ + หน้าคำที่เราต้องการถึงแม้มันจะเป็นคำธรรมดาเป็นการบังคับกูลเกิลหาให้เราครับ<br />
<b><span style="color: navy;">6. ใช้ Preferences</span></b><br />
Google มีตัวปรับแต่งการหาให้เหมาะสมกับความต้องการของเราครับ ใช้มันให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ตรงใกล้กับช่อง search box ด้านขวามือนั่นแหละครับมี Options หลายตัวให้เราเลือกใช้ เช่น Open results in new browser, Display 10-50 or 100 results per page<br />
<span style="color: navy;">7. <b>ใช้ดอกจัน *</b></span><br />
อันนี้น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วนะครับเรียกว่า Wildcard searches เป็นการหาคำแบบกว้าง ๆ เช่น *mp3 มันก็จะหาทุกคำที่มีเอ็มพี3ให้ทั้งหมด<br />
<span style="color: navy;">8. <b>หาไปทุกที่</b></span><br />
ครับ ถ้าเราหาไม่เจอใน web section ก็หาใน group section ถ้าไม่เจอก็ใช้ search engine ตัวอื่น ๆ เช่น yahoo, altavista หาต่อไป หรือเพื่อให้แน่ใจคำที่เราต้องการหา ให้ใช้ serch engine หลาย ๆ ตัวหาในคำ ๆ เดียวกันเพื่อเปรียบเทียบผลที่ได้รับ ยกตัวอย่างเช่น หาคำว่า”การตายของดิสนีย์ (disney death)” ถ้าหาใน altavista จะมี disney เพียบแต่คำว่า death ไม่มีหรอกครับ อ่ะ อ่ะ คนทำเว็บนี้กลัวตายตบท้ายด้วยการที่ผู้เขียนยกตัวอย่างการหาคำเฉพาะที่ต้องการโดยใช้เทคนิคตามที่ได้กล่าวมาแล้ว<br />
เขาต้องการหาคำว่า Sepultura เป็นชื่อวงดนตรี Heavy metal ของบราซิล (เฮอะ..ผมก็ชอบนะพวก Heavy metal or Heavy rock แต่ต้องเป็นวงเก่า ๆหน่อยเช่น Mountain, Lead Zaplin, UFO, Uriah Heep, Three dog night, Wish boon Ash อะไรพวกเนี้ย)<br />
<a href="http://www.com-th.net/webboard/index.php?topic=257.0">http://www.com-th.net/webboard/index.php?topic=257.0</a>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-74225882800133919362011-01-18T19:31:00.000-08:002011-01-18T19:31:58.445-08:00ความหมายและประเภทของเครื่องจักร<div align="center" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;"><span style="font-size: large;">ความหมายของเครื่องจักรค้นหา</span></span></b></div><div align="center" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="center" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;"><span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;"><span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;">เว็บไซต์ค้นหาคืออะไร (</span><b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;">Search Engine)</span></b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;"><br />
</span></span></span></span></span></b></div><div align="center" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;"><span lang="TH">โดยปกติแล้วเมื่อจัดทำเว็บไซต์ขึ้นแล้ว จะต้องทำการประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ของเรา ให้เป็นที่รู้จัก เพื่อที่คนจะได้เข้ามาดูข้อมูลที่เราต้องการเผยแพร่ได้ หากเราทำเว็บไซต์ไว้เฉย ๆ โดยไม่มีการประชาสัมพันธ์ หรือ บอกกล่าวกับผู้คน ก็จะทำให้เว็บไซต์เรา เปรียบเสมือน หนังสือ ที่วางไว้เฉยๆ โดยไม่มีคนอ่าน หรือ ทางภาษาทางการตลาดว่า "เว็บตาย" นั่นเอง หากเราจะทำเว็บและไม่ได้คิดถึงการทำตลาด การประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ ในด้านต่าง ๆ ก็ไม่มีประโยชน์เท่าใด เพราะถึงทำไปก็ไม่มีคนมาเข้าเว็บไซต์ของเราอยู่ดี ซึ่งการทำตลาดผ่านเว็บไซต์ มีได้ในหลายๆ ช่องทาง ก่อนที่เราจะรู้วิธี </span><a href="http://www.seo-thai.com/seo_articles/se_marketing.htm"><span lang="TH" style="color: windowtext;"><u>การทำตลาดผ่านเว็บไซต์ค้นหา</u></span></a> (<a href="http://www.seo-thai.com/seo_articles/se_marketing.htm"><span style="color: windowtext;"><u>Search Engine Marketing</u></span></a>) <span lang="TH">เรามาทำความรู้จัก</span> "<span lang="TH">เว็บไซต์ค้นหา" กันก่อน</span> <br />
<br />
<b><span lang="TH">การทำงานของเว็บไซต์ค้นหา</span></b><br />
<span lang="TH">ก่อนที่เราจะใช้ เว็บไซต์ค้นหา ในการทำตลาดให้กับเว็บไซต์ของเรา เรามาดูวิธีการทำงานของเว็บไซต์ค้นหาต่าง ๆ กันก่อนดีกว่า</span> <br />
<span lang="TH">ปกติแล้วเว็บไซต์ค้นหาจะแบ่งออกเป็น </span>3 <span lang="TH">จำพวกนั่นคือ </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; tab-stops: list 36.0pt; text-indent: -18pt;"><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;"><span>1.<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;">Search Engine <span lang="TH">เป็นเว็บไซต์ที่มีเครื่องมือในการที่จะค้นหาเว็บไซต์ต่าง ๆ มาเก็บไว้ในฐานข้อมูลของตัวเองโดยอัตโนมัติ เช่น </span>Google.com <span lang="TH">หรือ </span>Altavista.com <span lang="TH">ซึ่งเครื่องมือนี้ มีชื่อเรียกว่า </span>Search Robot <span lang="TH">จะทำหน้าที่คอยวิ่งเข้าไปอ่านข้อความจากหน้าเว็บไซต์ ของเว็บต่าง ๆ แล้วนำมาจัดลำดับคำค้นหา (</span>Index) <span lang="TH">ที่มีในเว็บไซต์เหล่านั้น เก็บไว้ในฐานข้อมูลของตนเอง เมื่อเราเข้าไปใช้บริการ กับ </span>Search Engine <span lang="TH">ต่าง ๆ ก็จะเป็นการไปค้นหาคำต่าง ๆ ที่ </span>Search Engine <span lang="TH">ได้เก็บรวบรวมไว้แล้วนั่นเอง </span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; tab-stops: list 36.0pt; text-indent: -18pt;"><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;"><span>2.<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;">Web Directory <span lang="TH">เป็นเว็บไซต์ค้นหาที่ใช้วิธีการ เพิ่มข้อมูลเข้าไปในฐานข้อมูลของระบบด้วย กำลังคน</span> (<span lang="TH">มีเจ้าหน้าที่คอยเพิ่มข้อมูลเข้าไป) จะไม่มีการส่ง </span>Robot <span lang="TH">ออกไปค้นด้วยตนเองแต่อย่างใด ซึ่งการจะนำชื่อเว็บไซต์ของเราให้เข้าไปอยู่ใน </span>Web Directory <span lang="TH">นี้จะต้องไปทำการเพิ่มชื่อเข้าไปเอง เว็บประเภทนี้ก็เช่น </span>Yahoo.com <span lang="TH">และ</span> Dmoz.org </span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; tab-stops: list 36.0pt; text-indent: -18pt;"><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;"><span>3.<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;">Meta Engine <span lang="TH">เป็นเว็บไซต์ที่ไปค้นหาจากเว็บไซต์ค้นหาอีกที ซึ่งเว็บประเภท </span>Meta Crawler <span lang="TH">นี้จะทุ่นแรง โดยการนำคำทีต้องการค้น ไปค้นจากเว็บค้นหาประเภทต่าง ๆ และนำมาแสดงรวมกันให้เราดูอีกที ซึ่งก็สะดวกไปอีกแบบหนึ่งครับ เว็บประเภทนี้ก็เช่น</span> Metacrawler.com, Go2net.com <span lang="TH">และ </span>Thaifind.com </span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 19pt;"><b><span lang="TH">หาข้อมูลที่ต้องการให้พบ</span></b><br />
<span lang="TH">การหาข้อมูลที่ต้องการให้พบ ไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเทคนิคนิด ๆ หน่อย... โดยปกติแล้วการค้นหาข้อมูลที่ต้องการก็เพียงแค่ เราไปใส่คำที่ต้องการค้นหาในเว็บไซต์ค้นหา แล้ว กดปุ่ม สำหรับค้น ก็จะมีข้อมูลต่าง ๆ ออกมาให้เราเลือก ว่าใช่เรื่องที่เราต้องการค้นหาหรือไม่ แต่หากเราใช้คำหลาย ๆ คำเช่น </span>Bronze Sculpture Thailand <span lang="TH">บางทีอาจจะทำให้เว็บไซต์ค้นหา แสดงผลออกมาได้ไม่ตรงกับความต้องการก็ได้ ซึ่งในเกือบทุก ๆ เว็บไซต์ค้นหา จะยอมรับคำสั่งทั่ว ๆ ไป ในการแสดงผลลัพธ์ ซึ่งหากเรานำคำสั่งเหล่านั้นมาใช้ ก็จะช่วยให้เราค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็ว ซึ่งคำสั่งทั่ว ๆ ไปมีดังนี้</span> <br />
<br />
<b>AND</b> <span lang="TH">เป็น คำสั่งให้รวมคำค้นหาที่อยู่ระหว่าง </span>AND <span lang="TH">เข้าด้วยกัน เช่น </span>Bronze AND Thailand <span lang="TH">เว็บไซต์ค้นหา จะไปหาหน้าเว็บไซต์ที่มี ทั้งคำว่า </span>Bronze <span lang="TH">และ </span>Thailand <span lang="TH">อยู่ในหน้าเดียวกันออกมา วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้ในหลายรูปแบบดังนี้ </span>Bronze AND Thai, "Bronze Thai", Bronze + Thai, Bronze & Thai<br />
<span lang="TH">แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ </span>Bronze + Thai <br />
<br />
<b>OR</b> <span lang="TH">เป็น คำสั่งให้เลือกคำใดคำหนึ่ง หรือ ทั้งสองคำมาแสดงผล เช่น </span>Bronze OR Thailand <span lang="TH">เว็บไซต์ค้นหา จะค้นหาหน้าเว็บไซต์ ที่มีคำว่า </span>Domain <span lang="TH">หรือ </span>Siam <span lang="TH">ออกมาแสดงก็ได้ ซึ่งปกติแล้ว ค่าเริ่มต้นของทุก เว็บค้นหา จะเป็น </span>OR <span lang="TH">อยู่แล้ว วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้หลายรูปแบบดังนี้</span><br />
Bronze OR Thailand, Bronze Thailand <br />
<span lang="TH">แต่ที่นิยมมากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ </span>Bronze Thailand <br />
<br />
<b>NOT</b> <span lang="TH">เป็นคำสั่งให้ตัดเว็บไซต์ที่มีคำค้นหา ตามหลัง </span>NOT <span lang="TH">ออกไป เช่น </span>Thailand NOT Bangkok <span lang="TH">เป็นคำสั่งให้ค้นหาคำว่า </span>Thailand <span lang="TH">แต่ไม่เอาหน้าที่มีคำว่า </span>Bangkok <span lang="TH">วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้หลายรูปแบบดังนี้</span><br />
Thailand NOT Bangkok, Thailand -Bangkok<br />
<span lang="TH">แต่ที่นิยมมากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ </span>Thailand -Bangkok<br />
<br />
<span lang="TH">ซึ่งหากเรานำคำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับคำค้นหาเรา ก็จะทำให้เราสามารถค้นหาเว็บที่ให้ข้อมูลได้ตรงกับความต้องการภายในเวลารวดเร็ว</span></span></div><div align="center"></div><div style="text-align: justify;"> ที่มา <span style="color: black;"> </span><a href="http://raktukkonnaka.spaces.live.com/blog/cns!C6A83A39A6E3D506!164.entry"><span style="color: black;">http://raktukkonnaka.spaces.live.com/blog/cns!C6A83A39A6E3D506!164.entry</span></a></div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div align="center"><strong><span lang="TH" style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; font-size: 19pt;">ประเภทของ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 19pt;">Search Engine</span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 19pt;"></span></strong> </div><div align="center"><strong><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 19pt;"></span></strong> </div><div align="left"><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 19pt;"><div style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">ทำไมเราต้องทำความรู้จักกับประเภทของ </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">Search Engine <span lang="TH">หากคุณเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ นั่นหมายความว่า คุณยังไม่รู้จัก การ </span>Search Engine <span lang="TH">ดีพอ เพราะวิธีการ และการจัดเก็บข้อมูลของแต่ละ </span>Search Engine <span lang="TH">แตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของ </span>Search Engine <span lang="TH">ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล </span><br />
<span lang="TH">ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ </span><strong>Search </strong><span lang="TH">อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ </span>Search Engine <span lang="TH">อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่นี้เราลองมาดูซิว่า </span>Search Engine <span lang="TH">ประเภทใดที่เหมาะกับการค้นหาข้อมูลของคุณ </span><br />
<br />
<strong>1. Keyword Index </strong><span lang="TH">เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อย ๆ ก็ประมาณ </span>200-300 <span lang="TH">ตัวอักษรแรกของเว็บเพจนั้นๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึง อ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษาคำสั่งในการสร้างเว็บเพจ (ภาษา </span>HTML) <span lang="TH">หรือเรียก</span> TAG <span lang="TH">ซึ่งอยู่ในรูปแบบ และข้อความที่อยู่ในคำสั่ง </span>alt <span lang="TH">ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน </span>TAG <span lang="TH">คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ </span>TAG <span lang="TH">อื่นๆ ในภาษา </span>HTML <span lang="TH">และคำสั่งในภาษา </span>JAVA <span lang="TH">มาใช้ในการค้นหา </span><br />
<span lang="TH">วิธีการค้นหาของ </span>Search Engine <span lang="TH">ประเภทนี้ <strong>จะให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น </strong>การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณต้องการแนวทางทางกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธีการนี้ก็ใช้ได้ไม่เลว </span><br />
<strong>2. Subject Directories </strong><span lang="TH">การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล ของการ </span>Search Engine <span lang="TH">ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการ พินิจวิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้ จะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคน ว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้น ๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร </span><br />
<span lang="TH">ดังนั้นฐานข้อมูลของ</span> Search Engine <span lang="TH">ประเภทนี้จะถูก <strong>จัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป </strong>การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ เด็ก </span>Search Engine <span lang="TH">ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับเด็กล้วน ๆ มาให้คุณ </span><br />
<strong>3. Metasearch Engines </strong><span lang="TH">จุดเด่นของการ </span>Search Engine <span lang="TH">ด้วยวิธีการนี้ คือ <strong>สามารถเชื่อมโยงไปยัง </strong></span><strong>Search Engine </strong><span><strong>ประเภทอื่น ๆ </strong>และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การ </span>search <span lang="TH">ด้วยวิธีนี้ มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะ <strong>ไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร </strong>และมักจะผ่านเลยคำประเภท </span>Natural Language ( <span lang="TH">ภาษาพูด) ดังนั้น หากคุณจะใช้ </span>Search Engine <span lang="TH">แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย </span><br />
<br />
<span lang="TH">บทสรุปของการเลือกใช้ </span>Search Engine <span lang="TH">คือ คุณจะต้องเข้าใจว่า วิธีการแต่ละวิธีมีจุดเด่นและจุดด้อย แตกต่างกันไป ฉะนั้นหากคุณจะค้นหาข้อมูลละก็ คุณต้องเลือกวิธีการค้นหาข้อมูลที่เหมาะสมกับ ความละเอียดถูกต้อง ของข้อมูลที่คุณต้องการด้วย</span></span></div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span lang="TH">ที่มา : <span style="color: black;"> </span><a href="http://raktukkonnaka.spaces.live.com/blog/cns!C6A83A39A6E3D506!165.entry"><span style="color: black;">http://raktukkonnaka.spaces.live.com/blog/cns!C6A83A39A6E3D506!165.entry</span></a></span></span></div></span></div><div style="text-align: justify;"><br />
</div>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-18636729554826387162011-01-11T19:24:00.000-08:002011-01-11T19:24:35.964-08:00การบริการอินเทอร์เน็ต,มรรยาทและการให้โทษของอินเทอร์เน็ต<div class="title">การบริการอินเตอร์เน็ต</div><div align="center" class="style34"><strong>บริการต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ต </strong></div><div class="style33"><br />
บริการบนอินเทอร์เน็ตมีหลายประเภท เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ได้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างบริการบนอินเทอร์เน็ตที่สำคัญดังนี้<br />
<br />
1.บริการด้านการสื่อสาร<br />
1.1 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(electronic mail)<br />
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่าอีเมล์ (E-mail) ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมประจำวันของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งการส่งและรับจดหมาย หรือข้อความถึงกันได้ทั่วโลกนี้จำเป็นจะต้องมีที่อยู่อีเมล์ (e-mail address หรือ e-mail account) เพื่อใช้เป็นกล่องรับจดหมาย ที่อยู่ของอีเมล์จะประกอบ ด้วยส่วนประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ ชื่อผู้ใช้ (User name) และชื่อโดเมน(Domain name) ซึ่งเป็นชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีรายชื่อของผู้ใช้อีเมล์ โดยชื่อผู้ใช้และชื่อโดเมนจะคั่นด้วยเครื่องหมาย @(อ่านว่า แอ็ท) เช่น Sriprai@sukhothai.siamu.ac.th จะมีผู้ใช้อีเมล์ชื่อ Sriprai ที่มีอยู่อีเมล์ ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ชื่อ sukhothai ของมหาวิทยาลัยสยาม(siamu) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษา (ac) ในประเทศไทย (th)<br />
<br />
ในการรับ-ส่งจดหมาย โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น ได้มีการพัฒนาโปรแกรมที่ใช้สำหรับอีเมล์อยู่หลายโปรแกรม เช่น โปรแกรม Microsoft Outlook Express โปรแกรม Netscape Mail เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับที่อยู่อีเมล์ได้ฟรีจากเว็บไซต์ที่ให้บริการที่อยู่อีเมล์ฟรี เว็บไซต์ที่เป็นที่รู้จักและนิยม ได้แก่ www.hotmail.com, www.chaiyo.com, www.thaimail.com<br />
<br />
โดยทั่วไปแล้ว ส่วนประกอบหลัก ๆ ของอีเมล์จะประกอบด้วยส่วนหัว (header) และส่วนข้อความ (message)<br />
<br />
1.2 รายชื่อกลุ่มสนทนา (mailing lists)<br />
mailing lists เป็นกลุ่มสนทนาประเภทหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตที่มีการติดต่อสื่อสารและการส่งข่าวสารให้กับสมาชิกตามรายชื่อและที่อยู่ของสมาชิกที่มีอยู่ ในรายการซึ่งในปัจจุบันมีกลุ่ม mailing lists ที่แตกต่างกันตามความสนใจจำนวนมาก การเข้าไปมีส่วนร่วมในกลุ่มสนทนาประเภทนี้ ผู้ใช้จะต้อง สมัครสมาชิกก่อนด้วยการแจ้งความประสงค์และส่งชื่อและที่อยู่เพื่อการลงทะเบียบไปยัง subscription address ของ mailing lists ตัวอย่าง mailing list เช่น ทัวร์ออนไลน์ (tourbus@listserv.aol.com)กลุ่มสนทนาเรื่องตลก (dailyjoke@lists.ivllage.com)<br />
<br />
1.3 กระดานข่าว (usenet)<br />
ยูสเน็ต (usenet หรือ user network) เป็นการรวบรวมของกลุ่มข่าวหรือ newsgroup ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนใจที่ต้องการจะติดต่อและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคนอื่น ๆ กลุ่มของ newsgroup ในปัจจุบันมีมากกว่า 10,000 กลุ่มที่มีความสนใจในหัวข้อที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้สนใจศิลปะ กลุ่มคอมพิวเตอร์ กลุ่มผู้ชื่นชอบภาพยนต์ เป็นต้น<br />
<br />
การส่งและรับแหล่งข่าวจาก usenet จะใช้โปรแกรมสำหรับอ่านข่าวเพื่อไปดึงชื่อของกลุ่มข่าวหรือหัวข้อจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้เข้าไปขอใช้บริการ<br />
<br />
เช่นเดียวกับระบบชื่อโดเมน (DNS) กลุ่มข่าวจะมีการตั้งชื่อเพื่อใช้เป็นแบบมาตรฐาน ซึ่งชื่อกลุ่มจะประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ๆ คือ ชื่อหัวข้อกลุ่มข่าวหลัก (major topic) ชื่อกลุ่มข่าวย่อย (subtopic) และประเภทของกลุ่มข่าวย่อย (division of subtopic) ตัวอย่างเช่น <br />
<br />
1.4 การสนทนาออนไลน์(On-line chat)<br />
การสนทนาออนไลน์ เป็นบริการหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถคุยโต้ตอบกับผู้ใช้คนอื่น ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน (real-time) การสนทนาหรือ chat (Internet Relay Chat หรือ IRC)ได้มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันการสนทนาระหว่างบุคคลหรือ กลุ่มบุคคลสามารถใช้<br />
ภาพกราฟิก ภาพการ์ตูนหรือภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ แทนตัวผู้สนทนาได้ นอกจากการสนทนาแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและไฟล์ได้อีกด้วย<br />
<br />
การใช้งาน IRC ผู้ใช้จะต้องติดต่อไปยังเครื่องที่เป็นไออาร์ซีเซิร์ฟเวอร์ (IRC server) ที่มีการแบ่งห้องสนทนาเป็นกลุ่ม ๆ ที่เรียกว่า แชนแนล (channel) โดยผู้ใช้จะต้องมีโปรแกรมเพื่อใช้สำหรับการสนทนา (ซึ่งสามารถดาวน์โหลดฟรีจากอินเทอร์เน็ต) เมื่อผู้ใช้ติดต่อกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได้แล้ว ก็จะเลือกกลุ่มสนทนาหรือหัวข้อสนทนาที่สนใจ และเริ่มสนทนาได้ตามความต้องการ ตัวอย่าง โปรแกรมสนทนาออนไลน์ที่นิยมใช้กัน ในปัจจุบัน เช่น ICQ(I Seek You) และ mIRC</div><div class="style33"><br />
การสนทนาผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันผู้ใช้สามารถใช้สื่อประสม (multimedia) ประกอบด้วย เสียงพูด และภาพเคลื่อนไหว โดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ไมโครโฟน ลำโพง กล้องวีดีโอ และอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพื่อประสิทธิภาพของการสนทนา ให้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของโปรแกรม ได้มีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อการสนทนาออนไลน์ที่มีคุณภาพ เช่น โปรแกรม Microsoft NetMeeting ที่สามารถสนทนากันไปพร้อม ๆ กับมองเห็นภาพของคู่สนทนาได้ด้วย</div><div class="style33"><br />
1.5 เทลเน็ต (telnet)<br />
เทลเน็ตเป็นบริการที่ให้ผู้ใช้สามารถใช้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ระยะไกล โดยจะใช้การจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังใช้งานอยู่ ให้เป็นจอภาพ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ระยะไกลเครื่องนั้น การทำงานในลักษณะนี้ จะช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในกรณีที่ต้องเดินทางไปใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์ระยะไกล การใช้งานเทลเน็ตจะเป็นการแสดงข้อความตัวอักษร (text mode) โดยปกติการเข้าไปใช้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์ ระยะไกล จำเป็นต้องมีรายชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน แต่ก็มีบางหน่วยงานที่อนุญาติให้เข้าใช้บริการโดยไม่ต้องระบุรหัสผ่านเพื่อ เป็นการให้บริการข้อมูลแก่ลูกค้าทั่ว ๆ ไป</div><div align="center" class="style33"><br />
</div><div class="style33"><br />
2.บริการด้านข้อมูลต่าง ๆ<br />
2.1 การขนถ่ายไฟล์(file transfer protocol)<br />
การขนถ่ายไฟล์ หรือที่เรียกสั้น ๆว่า เอฟทีพี (FTP) เป็นบริการที่ใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์เน็ต เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการไฟล์จะเรียกว่า เอฟทีพีเซิร์ฟเวอร์ (FTP sever หรือ FTP site)<br />
<br />
ข้อมูลที่ให้บริการขนถ่ายไฟล์จะมีลักษณะหลายรูปแบบ ได้แก่ ข้อมูลสถิติ งานวิจัย บทความ เพลง ข่าวสารทั่วไป หรือโปรแกรมฟรีแวร์ (freeware) ที่สามารถดาวน์โหลดและใช้โปรแกรมฟรี<br />
<br />
ในบางครั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการขนถ่ายไฟล์จะให้บริการเฉพาะบุคคลที่มีบัญชีรายชื่ออยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ก้ฒีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการขนถ่ายไฟล์จำนวนมากอนุญาตให้ผู้ใช้ทั่วไปได้เข้าไปใช้บริการ ถึงแม้ว่าในบางครั้งจะไม่อนุญาต ให้ขนถ่ายไฟล์ทั้งหมดก็ตาม<br />
<br />
2.2 โกเฟอร์ (gopher)<br />
เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่ให้บริการข้อมูลในลักษณะของการค้นหาจากเมนู(menu-based search) จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการข้อมูล โปรแกรมโกเฟอร์พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Minnesota ในปี ค.ศ. 1991 เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการฐานข้อมูลจะเป็นลักษณะของเมนูลำดับชั้น (hierarchy) เพื่อเชื่อมโยงไปยังแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่กระจายกันอยู่หลายแหล่งได้<br />
<br />
2.3 อาร์ซี (archie) <br />
อาร์ซี เป็นการเข้าใช้บริการค้นหาข้อมูลจากเครื่องแม่ข่ายที่เป็นอาร์ซีเซิร์ฟเวอร์ (archie sever ) ซึ่งเป็นแหล่งที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสถานที่ของข้อมูล จากนั้นก็จะไปค้นข้อมูลโดยตรงจากสถานที่นั้นต่อไป<br />
<br />
2.4 WAIS (Wide Area Information Severs)<br />
WAIS เป็นบริการค้นหาข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตที่ได้รวบรวมข้อมูลและดรรชนีสำหรับสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้เพื่อสามารถเข้าไปยังข้อมูลที่ต้องการและสามารถเชื่อมโยงไปยังศูนย์ข้อมูล WAIS อื่นๆ ได้ด้วย<br />
<br />
2.5 veronica<br />
veronica ย่อมาจาก very easy rodent-oriented net-wide index to computerized archives เป็นบริการที่รวบรวมข้อมูลเพื่อช่วยอำนวย ความสะดวกในการค้นหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว<br />
<br />
2.6 การค้นหาข้อมูลโดยใช้เว็บเบราเซอร์<br />
อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายใยแมงมุมที่มีการเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก การค้นหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ถ้าผู้ใช้ไม่ทราบที่อยู่ของเว็บไซต์ ก็สามารถค้นหาแหล่งข้อมูลโดยใช้บริการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วปัจจุบันการค้นหาข้อมูลที่ต้องการเป็นเรื่อง ที่กระทำได้สะดวกและรวดเร็ว การพัฒนาเว็บไซต์ที่ช่วยสืบค้นแหล่งข้อมูลที่เรียกว่า เครื่องค้นหา (search engine) ช่วยให้การค้นหาทั้งในรูปของ ข้อความและกราฟิกกระทำได้โดยง่าย เว็บไซต์ที่ช่วยสำหรับการสืบค้นข้อมูลที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ yahoo.com, altavista.com, lycos.com, excite.com, ask.com, infoseek.ccom</div><div class="style33">แหล่งที่มา <a href="http://portal.in.th/inter-pchai/pages/internet/"><span style="color: black;">http://portal.in.th/inter-pchai/pages/internet/</span></a></div><div class="style33"><br />
</div><div class="style33"><a href="http://iam.hunsa.com/alonebaby/article/11645"><span style="color: #555555;"><strong>มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต</strong></span></a></div><div class="style33"> 1. ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจในข้อบังคับนั้นและต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองที่ใช้บริการต่าง ๆ บนเครือข่าย<br />
</div><div> 2. ไม่ละเมิดหรือกระทำการใด ๆ ที่สร้างปัญหาและไม่เคารพกฎเกณฑ์ที่แต่ละองค์กรวางไว้<br />
</div><div>3. ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้บริหารเครือข่ายย่อยหรือองค์กรนั้นอย่างเคร่งครัด<br />
</div><div>4. ไม่ควรส่งโปรแกรมหรือแฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสคอมพิวเตอร์<br />
</div><div>5. ห้ามส่งจดหมายลูกโซ่</div><div>แหล่งที่มา <a href="http://iam.hunsa.com/alonebaby/article/11645"><span style="color: black;">http://iam.hunsa.com/alonebaby/article/11645</span></a></div><div> </div><div><div class="title"><h2><a href="http://iam.hunsa.com/alonebaby/article/11643"><span style="color: #555555;">โทษของอินเทอร์เน็ต</span></a></h2><span><span style="color: #3985a2; font-size: xx-small;"> </span></span> <div><span style="color: #0088cc; font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: medium;"></span></div><span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: medium;">โทษของอินเทอร์เน็ต</span></div><div class="post"><div><span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: medium;"></span></div><div><span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: medium;">1.อาจถูกหลอกและเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้ใกล้ชิด</span></div><div><span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: medium;">2.ถ้าเล่นอินเทอร์เน็ตมากเกินไปอาจเสียการเรียนได้</span></div><div><span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: medium;">3.ข้อมูลบางอย่างไม่เหมาะสม</span></div><div><span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: medium;">4.เกิดการแพร่วัฒนธรรมและกระจายข่าวสารที่ไม่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว</span></div><div><span style="font-family: arial,helvetica,sans-serif; font-size: medium;">5.โรคติดอินเทอร์เน็ต (Webaholic)</span></div><div><span style="font-family: Arial; font-size: medium;"></span></div><div><span style="font-family: Arial; font-size: medium;">อ้างอิงจาก : เอกสารประกอบการเรียน วิชาคอมพิวเตอร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พ.ศ.2549</span></div></div><div class="info"><span id="tags"></span></div></div><div><span style="font-size: medium;"></span></div><div><span style="color: black; font-size: medium;">แหล่งที่มา :<span style="color: black;"> </span><a href="http://iam.hunsa.com/alonebaby/article/11643"><span style="color: black;">http://iam.hunsa.com/alonebaby/article/11643</span></a></span></div>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-26442751454825336062011-01-11T19:10:00.000-08:002011-01-11T19:10:51.021-08:00การเชื่อมต่อเครื่อข่าย เวิลด์ไวด์เว็บ เว็บบราว์เซอร์<span class="fontbold"><span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="color: #073763;"> <strong> การเชื่อมต่อเครือข่าย</strong></span></span></span><br />
<br />
<span class="fontbold"><span style="font-family: MS Sans Serif;"> ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตหลายคนอาจเข้าสู่อินเทอร์เน็ตโดยผ่านทางระบบเครือข่ายของสำนักงาน บริษัท หรือสถานศึกษาของตน ซึ่งตามปกติแล้วหากเป็นหน่วยงานหรือสำนักงานใหญ่ๆ จะต่อคอมพิวเตอร์เป็นระบบภายในองค์กร (LAN) ซึ่งมักจะเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการ (ISP) ผ่านสายนำสัญญาณความเร็วสูง (High-Speed Leased Line) แทนที่จะเชื่อมต่อผ่านโมเด็ม (Modem) แต่ถ้าหากว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ในวง LAN ที่ไม่โตมากนักก็อาจใช้เชื่อมต่อผ่านโมเด็มก็ได้ เพราะจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อระบบ แต่อาจจะมีปัญหาในเรื่องความเร็ว ในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตบ้างเล็กน้อย<br />
<a href="http://www.rayongwit.ac.th/computer/m2fri49/g7m2fri/con_internet.htm">http://www.rayongwit.ac.th/computer/m2fri49/g7m2fri/con_internet.htm</a></span></span><br />
<br />
<strong><span style="color: #192e4c;"><span style="color: #0b5394;"><span class="fontbold">ระบบข่าวสารเวิลด์ไวด์เว็บ (WWW)</span></span></span></strong><div align="left"> ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๔ มีการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข่าวสารแบบไฮเปอร์เทกซ์บนเครือข่าย ส่วนของไฮเปอร์เทกซ์เป็นเอกสารที่เชื่อมโยงกันได้ทั่วทั้งเครือข่าย จึงเรียกระบบสารเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารนี้ว่า WWW (World Wide Web) ระบบข่าวสาร WWW เป็นระบบข่าวสารที่มีประโยชน์มาก มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง และเป็นที่นิยมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต<br />
หากย้อนกลับไปในอดีต ความคิดในเรื่องไฮเปอร์เทกซ์มีมานานแล้ว โดยเฉพาะในสมัยที่บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์สร้างเครื่องแมคอินทอชและระบบกราฟิคัลยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ (GUI)บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้สร้างรูปแบบของการเก็บข้อมูลแบบไฮเปอร์เทกซ์ไว้ ระบบการเก็บข้อมูลแบบไฮเปอร์เทกซ์จึงเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้ใช้เครื่องแอปเปิลแมคอินทอช<br />
เมื่ออินเทอร์เน็ตแพร่หลาย ความคิดในการทำไฮเปอร์เทกซ์มาประยุกต์บนเครือข่ายก็เริ่มเป็นรูปร่าง โดยมีการพัฒนากลไกขึ้นมา ๓ ส่วนส่วนแรกคือ ตัวเนื้อหาหรือข้อมูล ซึ่งก็คือ ตัวหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่รวมรูปภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหวไว้ หรือมีลักษณะเป็นแบบมัลติมีเดียหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นี้มีลักษณะเฉพาะตามมาตรฐานที่กำหนด โดยเน้นการผลิตตัวหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่แยกออกไป การจัดรูปแบบหนังสือใช้มาตรฐาน HTML ส่วนที่ ๒ คือส่วนจัดการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์และเชื่อมโยงบนเครือข่าย ซึ่งได้มีการกำหนดโพรโทคอลพิเศษสำหรับการเชื่อมโยงบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์เรียกว่า โพรโทคอล HTTP (HyperText TransportProtocol) โพรโทคอลนี้มีลักษณะทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนที่ ๓ คือ เครื่องเปิดอ่านหนังสือ หรือที่เรียกว่า เบราว์เซอร์ (browser)เครื่องเปิดอ่านหนังสือจะเชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่ายตามโพรโทคอลที่กำหนด และเชื่อมโยงเพื่อนำ ข้อมูลหนังสือ (ไฮเปอร์เทกซ์) มาแสดงผลเบราว์เซอร์สามารถแสดงผลแบบมัลติมีเดียได้เมื่อรวมทั้ง ๓ ส่วนนี้เข้าด้วยกัน จึงกลายมาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากมาย เราเรียกระบบข่าวสารที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายว่า เวิลด์ไวด์เว็บ (WWW)<br />
<br />
<a href="http://guru.sanook.com/encyclopedia/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A_(WWW)/">http://guru.sanook.com/encyclopedia/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A_(WWW)/</a><br />
<br />
<b>เว็บเบราว์เซอร์</b> <span style="color: black;">(</span><a href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9" title="ภาษาอังกฤษ"><span style="color: black;">อังกฤษ</span></a><span style="color: black;">: <span lang="en" xml:lang="en">web browser</span>) <b>เบราว์เซอร์</b> หรือ <b>โปรแกรมค้นดูเว็บ</b> คือ</span><a href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C" title="โปรแกรมคอมพิวเตอร์"><span style="color: black;">โปรแกรมคอมพิวเตอร์</span></a><span style="color: black;"> ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษา</span><a href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5" title="เอชทีเอ็มแอล"><span style="color: black;">เอชทีเอ็มแอล</span></a><span style="color: black;"> ที่จัดเก็บไว้ที่</span><a class="new" href="http://www.blogger.com/w/index.php?title=%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A&action=edit&redlink=1" title="ระบบบริการเว็บ (หน้านี้ไม่มี)"><span style="color: black;">ระบบบริการเว็บ</span></a><span style="color: black;">หรือ</span><a href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C" title="เว็บเซิร์ฟเวอร์"><span style="color: black;">เว็บเซิร์ฟเวอร์</span></a><span style="color: black;">หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับ</span><a href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C" title="เครือข่ายคอมพิวเตอร์"><span style="color: black;">เครือข่ายคอมพิวเตอร์</span></a><span style="color: black;">ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า</span><a href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A" title="เวิลด์ไวด์เว็บ"><span style="color: black;">เวิลด์ไวด์เว็บ</span></a><br />
<span style="color: black;">เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรกของโลกชื่อ </span><a href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A_(%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C)" title="เวิลด์ไวด์เว็บ (เว็บเบราว์เซอร์)"><span style="color: black;">เวิลด์ไวด์เว็บ</span></a><span style="color: black;"> ขณะเดียวกันเว็บเบราว์เซอร์ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือ </span><a href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C" title="อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์"><span style="color: black;">อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์</span></a><br />
<br />
<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C</a></div>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-2834510422857276462011-01-11T19:07:00.000-08:002011-01-11T19:07:16.086-08:00ข้อดีและข้อจำกัด,การปประยุกต์ใช้และชื่อ,หมายเลขในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการสื่อสารสารสนเทศ เปรียบเสมือนชุมชนแห่งใหม่ของโลก ซึ่งรวมคนทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน จึงทำให้มีบริการต่างๆ เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งข้อดีที่เป็นประโยชน์และข้อจำกัดบางประการ ดังนี้ <br />
<strong><span style="color: black;">ข้อดีของอินเทอร์เน็ต</span></strong><br />
อินเทอร์เน็ตประกอบไปด้วยบริการที่หลากหลาย ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการมากมาย ดังต่อไปนี้<br />
<ol><li>ค้นคว้าข้อมูลในลักษณะต่างๆ เช่น งานวิจัย บทความในหนังสือพิมพ์ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ฯลฯ ได้จากแหล่งข้อมูลทั่วโลก เช่น ห้องสมุด สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในการเดินทางและสามารถสืบค้นได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง </li>
<li>ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างๆ อยู่ รวมทั้งอ่านบทความเรื่องราวที่ลงในนิตยสารหรือวารสารต่างๆ ได้ฟรีโดยมีทั้งข้อความและภาพประกอบด้วย </li>
<li>รับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเงินค่าตราไปรษณียากร ถึงแม้จะเป็นการส่งข้อความไปต่างประเทศก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเหมือนการส่งจดหมาย การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์นี้นอกจากจะส่งข้อความตัวอักษรแบบจดหมายธรรมดาแล้ว ยังสามารถส่งแฟ้มภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงพร้อมกันไปได้ด้วย </li>
<li>สนทนากับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลได้ทั้งในลักษณะการพิมพ์ข้อความและเสียง </li>
<li>ร่วมกลุ่มอภิปรายหรือกลุ่มข่าวเพื่อแสดงความคิดเห็น หรือพูดคุยถกปัญหากับผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกัน เป็นการขยายวิสัยทัศน์ในเรื่องที่สนใจนั้นๆ </li>
<li>ถ่ายโอนแฟ้มข้อความ ภาพ และเสียงจากที่อื่นๆ รวมทั้งโปรแกรมต่างๆ ได้จากแหล่งที่มีผู้ให้บริการ </li>
<li>ตรวจดูราคาสินค้าและสั่งซื้อสินค้ารวมทั้งบริการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปห้างสรรพสินค้า </li>
<li>ให้ความบันเทิงหลายรูปแบบ เช่น การฟังเพลง รายการวิทยุ การชมรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รวมไปถึงการแข่งขันเกมกับผู้อื่นได้ทั่วโลก </li>
<li>ติดประกาศข้อความที่ต้องการให้ผู้อื่นทราบได้อย่างทั่วถึง </li>
<li>ให้เสรีภาพในการสื่อสารทุกรูปแบบแก่บุคคลทุกคน </li>
</ol><strong><span style="color: black;">ข้อจำกัดของอินเทอร์เน็ต</span></strong><br />
ถึงแม้อินเทอร์เน็ตจะก่อให้เกิดผลดีต่อผู้ใช้มากมาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ ดังต่อไปนี้<br />
<ol><li>อินเทอร์เน็ตเป็นข่ายงานขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนจึงสามารถสร้างเว็บไซด์หรือติดประกาศข้อความได้ทุกเรื่อง บางครั้งข้อความนั้นอาจจะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับการรับรอง เช่น ข้อมูลด้านการแพทย์หรือผลการทดลองต่างๆ จึงเป็นวิจารณญาณของผู้อ่านที่จะต้องไตร่ตรองข้อความที่อ่านนั้นด้วยว่าควรจะเชื่อถือได้หรือไม่ </li>
<li>นักเรียนและเยาวชนอาจติดต่อเข้าไปในเว็บไซด์ที่ไม่เป็นประโยชน์หรืออาจยั่วยุอารมณ์ ทำให้เป็นอันตรายตัวตัวเองและสังคม </li>
</ol> แหล่งที่มา : <span style="color: black;"> </span><a href="http://tc.mengrai.ac.th/paisan/e-learning/internet/page24.htm"><span style="color: black;">http://tc.mengrai.ac.th/paisan/e-learning/internet/page24.htm</span></a><br />
<div style="background-color: transparent; border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; color: black; overflow: hidden; text-align: left; text-decoration: none;"><div align="center" class="MsoNormal" style="margin-top: 6pt; text-align: center;"><strong><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ต</span></strong><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-top: 6pt; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">ข้อมูลและบริการต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตมีเป็นจำนวนมากมายและหลายหลากประเภท ทำให้มีการพัฒนาและประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตกับงานในด้านต่างๆ มากมาย จึงขอยก ตัวอย่างการประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตพอสังเขป ดังนี้</span><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;"></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-left: 11.25pt; margin-top: 6pt; text-align: justify;"><strong><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;">ด้านการศึกษา</span></strong><strong><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;"></span></strong></div><div class="MsoNormal" style="margin-top: 6pt; text-align: justify; text-indent: 29.25pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">อินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดยักษ์ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปค้นหาและดึงข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว มีแหล่งข้อมูลความรู้จำนวนมหาศาลที่มีกระจายอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลความรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และอื่นๆ ทำให้นักเรียน ครูอาจารย์ รวมถึงผู้ที่สนใจสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้า หรือการทำงานได้ <span> </span>ในส่วนระบบการจัดการเรียนการสอนทางไกลโดยใช้อินเทอร์เน็ต ก็ทำให้ผู้เรียนหรือผู้สอนที่อยู่ห่างไกลกัน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาสถานที่เดียวกัน ผู้สอนและผู้เรียน สามารถอยู่คนละสถานที่ ก็ยังสามารถทำการเรียนการสอนได้ <span> </span>เช่น<span> </span>การเรียนการสอนผ่านเวบ หรือ </span><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">E-Learning <span lang="TH">เป็นอีกหนึ่งกระแสของการประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตที่กำลังมาแรงในปัจจุบันนี้</span>, <span lang="TH">ห้องสมุดดิจิตอล</span> (Digital Library) <span lang="TH">ก็เป็นอีกบริการหนึ่งที่ได้รับความสำคัญมากในปัจจุบัน โดยได้มีการพัฒนาเนื้อหาความรู้สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา มีเนื้อหาความรู้ในสาขาต่างๆ มากมายสำหรับนักเรียนและอาจารย์ใช้ในการเรียนการสอน </span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-left: 47.25pt; margin-top: 6pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;"><span>1.<span style="-x-system-font: none; font-size-adjust: none; font-stretch: normal; font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;">ธุรกิจการค้า<em> </em></span><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-top: 6pt; text-align: justify; text-indent: 29.25pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">ปัจจุบันมีการให้บริการ โฆษณาสินค้าบริการและการซื้อขายสินค้าบริการต่างๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า </span><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">E-Commerce <span lang="TH">ซึ่งระบบนี้ผู้ซื้อสามารถเลือกดูสินค้า ตรวจสอบคุณสมบัติต่างๆ แล้วทำการสั่งซื้อ พร้อมทั้งชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตโดยหักจากบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตได้ทันที นอกจากนี้ บริษัทหรือองค์กรต่างๆ ก็สามารถเปิดให้บริการแก่ลูกค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ เช่น การตอบคำถาม ให้คำแนะนำ และประกาศข่าวสารใหม่ๆ หรือกรณีที่เป็นสินค้าเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ ก็อาจแจกจ่ายโปรแกรมให้ทดลองใช้ หรือให้ดาวน์โหลดโปรแกรมแก้ไขข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ (</span>patch) <span lang="TH">แม้กระทั่งซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ๆ ได้โดยตรงอีกด้วย</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-left: 47.25pt; margin-top: 6pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;"><span>2.<span style="-x-system-font: none; font-size-adjust: none; font-stretch: normal; font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;">การเงินการธนาคาร</span><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-top: 6pt; text-align: justify; text-indent: 29.25pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">ธนาคารบนอินเทอร์เน็ต (</span><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">Internet Banking) <span lang="TH">หมายถึง ธนาคารที่ให้บริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในบางธนาคารก็มีบริการที่มีชื่อคล้ายคลึงกันแต่ มีความแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นคือ ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ หรือ </span>Electronic Banking <span lang="TH">หรือ </span>E-Banking <span lang="TH">ซึ่งหมายถึงธนาคารที่ให้บริการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ โดยสื่อที่นิยมใช้ได้แก่อินเทอร์เน็ต จะเห็นได้ว่าบริการทั้งสองรูปแบบต่างก็มีการให้บริการต่างๆ ของธนาคารที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบยอดบัญชี การโอนเงิน การสั่งชำระค่าสินค้าและบริการ เป็นต้น </span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-top: 6pt; text-align: justify; text-indent: 29.25pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">สำหรับการระบบชำระเงินค่าสินค้าและบริการแบบออนไลน์ ก็อีกบริการซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแส ความแรงของการทำ </span><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">E-Commerce <span lang="TH">ทั่วโลก ที่มีความต้องการองค์กรกลางที่น่าเชื่อถือ อันได้แก่ธนาคาร เข้าไปมีบทบาทในเรื่องของการชำระเงินแบบออนไลน์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ด้วยระบบนี้ทำให้ลูกค้าเกิดความสะดวกและรวดเร็วในการใช้บริการเป็นอย่างมาก</span></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin: 6pt 0cm 0pt 47.25pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;"><span>3.<span style="-x-system-font: none; font-size-adjust: none; font-stretch: normal; font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;">ความบันเทิง </span><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt;"></span></div><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;">สิ่งที่ดึงดูดใจแก่ผู้งานอินเทอร์เน็ตทุกเพศ ทุกวัย มากที่สุด ก็คือ ความสาระบันเทิงที่มีอยู่มากมายบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น การอ่านข่าวสารจากวารสารและหนังสือพิมพ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถชมตัวอย่างภาพยนตร์ซึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงได้อีกด้วย การค้นหาข้อมูลเพื่อใช้ในการพักผ่อนหย่อนใจ หรือสันทนาการต่างๆ ก็ถือเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้ได้เช่นกัน รวมทั้งการสนทนาพูดคุยระหว่างผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตด้วย การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านทางเวบบอร์ดต่างๆ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้ได้ทั้งความรู้ และความเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก</span><span style="font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 14pt; line-height: 115%;"><br />
</span><br />
: <a href="http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1460805#ixzz1AmoM0F4X" style="color: #003399;"><span style="color: black;">http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1460805#ixzz1AmoM0F4X</span></a></div><div style="background-color: transparent; border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; color: black; overflow: hidden; text-align: left; text-decoration: none;"><span style="font-family: MS Sans Serif;"><span style="color: black;">แหล่งที่มา : </span><a href="http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1460805"><span style="color: black;">http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1460805</span></a></span><wbr></div><div class="post hentry uncustomized-post-template"><div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;"><strong><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;">ชื่อและหมายเลขประจำเครื่องในเครือข่าย</span></strong><strong></strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16pt;"> </span> </div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span>IP Address <span><span> </span>คือ</span></span></strong><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"> หมาย เลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข </span></strong><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">4 <span>ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด เช่น </span>192.168.100.1 <span>หรือ </span>172.16.10.1 <span>เป็นต้น</span> <span><span> </span>กำหนดให้ </span>IP address (<span>เป็นหมายเลข </span>3 <span>หลัก </span>4 <span>กลุ่ม) มีทั้งหมด</span> 32 bit <span>หรือ </span>4 byte <span>แต่ล่ะ </span>byte <span>จะถูกคั่นด้วยจุด (.) ระบบหมายเลขประจำเครื่องมีข้อบกพร่อง คือ จำยากและไม่ได้สื่อความหมายให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ทราบ ดังนั้น จึงมีการใช้ระบบชื่อของเครื่อง (</span>Domain Name System : DNS) <span>ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนหมายเลข </span>IP Address <span>มาเป็นชื่อที่คนทั่วๆ ไปเข้าใจกัน</span> <span>เช่น</span><span> </span>Moe.go.th<span> </span>/<span> </span>udru.ac.th<span> </span>/<span> </span>microsoft.com</span></strong></div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span>Domain Name System : DNS</span></strong><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span>การเชื่อมต่อสื่อสารระหว่าง คอมพิวเตอร์ในระบบ </span></strong><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">internet <span>นั้นใช้มาตรฐาน </span>TCP/ IP <span>ที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นต้องมีหมายเลข </span>IP Address <span>ไม่ซ้ำกัน ซึ่งใช้ เวลาติดต่อสื่อสารระหว่างกัน โดยจะอ้างถึงหมายเลขประจำตัวเครื่องปลายทางที่เราติดต่อได้ทันที โดยปกติเครื่อง </span>Web Server <span>จะมี </span>IP Address <span>ทั้งนี้เกิดปัญหาในการจำ เพราะว่า </span>IP Address <span>มีตัวเลขถึง </span>12 <span>ตัว จากจุดนี้เลยได้มีการคิดที่จะแปลง</span> IP Address <span>ให้เป็นชื่อที่จำได้ง่าย </span>Domain Name System <span>จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อใช้ชื่อแทนที่หมายเลข </span>IP <span>ฉะนั้น </span>DNS <span>คือระบบการแปลงค่าระหว่าง </span>IP Address <span>และชื่อเครื่อง(</span>Host) <span>เช่น </span>IP Address "172.5.0.1" <span>เรียกเป็น "</span><a href="http://fws.cc/linkout.php?http://www.udru.ac.th" target="_blank"><span style="color: #476c8e;">www.udru.ac.th</span></a>" (<span>เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี)</span></span></strong></div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span><span> </span><span>การกำหนดชื่อใน </span>DNS <span>จะเรียงลำดับความสำคัญจากขวาไปซ้าย โดยมีจุดคั่น เช่น </span>Udru.ac.th <span>จะอ่านได้ว่า </span>th <span>มาจากประเทศไทย</span>, ac <span>หน่วยงานการศึกษา</span>, udru <span>ชื่อหน่วยงานในที่นี้คือ มรภ.อุดรธานี</span></span></strong></div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">รูปแบบชื่อโดเมน มี </span></strong><strong><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">3 <span>รูปแบบใหญ่ ๆ</span></span></strong></div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span>1. <span>โดเมนขั้นสูงสุด - </span>Top Level Domain</span></strong><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"> <span>ชื่อทางด้านขวาสุดแบ่งย่อยเป็น </span>2 <span>รูปแบบ คือ</span> <span> </span></span></strong></div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span>- <span>รูปแบบโดเมนขั้นสูงสุดแบบสากล (</span>General Internet DNS Top Level Domains : gTLDs) <span>เป็นรูปแบบมาตรฐานที่ใช้กันโดยเฉพาะในอเมริกาซึ่งลงท้ายด้วย .</span>com .net .org .biz .info <span>เป็นต้น</span></span></strong></div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span><span> </span>- <span>รูปแบบโดเมนขั้นสูงสุดแต่ละประเทศ(</span>Country Code top Level Domains : ccTLDs) <span>บ่งบอกถึงประเทศเจ้าของโดเมนหรือที่ตั้งโดเมนมักใช้กับประเทศอื่นยกเว้นอเมริกา เช่น .</span>th <span>ประเทศไทย</span>, .jp <span>ประเทศญี่ปุ่น</span>, .uk <span>ประเทศอังกฤษ เป็นต้น</span></span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.au = Australia .</span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">sg = Singapore </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.th = Thailand </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.tw = Taiwan </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.uk = United Kingdom </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.jp = Japan</span></strong> </div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span><span style="color: navy;">2. <span>โดเมนขั้นที่สอง - </span>Second Level Domain</span> <span>เป็นชื่อถัดมาลำดับที่ </span>2 <span>จะเป็นลักษณะการดำเนินงานขององค์กร แบ่งเป็น </span>2 <span>ส่วน</span></span></strong></div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span>-<span><span> </span>ลักษณะการดำเนินงานขององค์กรในประเทศไทย เช่น</span></span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.co = Commercial <span>หน่วยงานทางธุรกิจ บริษัท ห้างร้าน</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.ac = Academic <span>หน่วยงานสถาบันทางการศึกษา เช่น โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.go = Government <span>หน่วยงานของรัฐบาล เช่น กระทรวง ทบวง กรม</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.or = Organization <span>หน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.mi = Military <span>หน่วยงานด้านความมั่นคง (ทหาร)</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.net = Network <span>หน่วยงานที่ให้บริการทางด้านเครือข่ายสื่อสาร</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.in = Individual <span>เว็บไซต์ส่วนบุคคล</span></span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span>- <span><span> </span>ลักษณะการดำเนินงานขององค์กร ยกเว้นประเทศไทย เช่น</span></span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.com = Commercial <span>หน่วยงานทางธุรกิจ บริษัท ห้างร้าน</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.edu = Education <span>หน่วยงานสถาบันทางการศึกษา เช่น โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย</span></span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.gov = Government <span>หน่วยงานของรัฐบาล เช่น กระทรวง ทบวง กรม</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.org = Organization <span>หน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.mil = Military <span>หน่วยงานด้านความมั่นคง (ทหาร)</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">.net = Network <span>หน่วยงานที่ให้บริการทางด้านเครือข่ายสื่อสาร</span></span></strong></div><div class="MsoNormal" style="text-align: justify;"><strong><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"><span> </span>3. <span> </span><span>โดเมนขั้นที่สาม - </span>Third Level Domain</span></strong><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"> <span>เป็นลำดับที่ </span>3 <span>นับจากด้านขวามือ เป็นชื่อที่สื่อความหมายให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถจดจำได้เช่น </span></span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">udru = <span>มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">Microsoft = <span>บริษัทไมโครซอฟต์</span> </span></strong></div><div class="MsoNormal"><strong><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">moe = <span>กระทรวงศึกษาธิการ</span></span></strong></div><strong><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;">แหล่งที่มา<a href="http://fws.cc/chokajub/index.php?topic=904.0"><span style="color: black;">http://fws.cc/chokajub/index.php?topic=904.0</span></a></span></strong><a href="" name="5471495520442556490"></a></div>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-9937178074411532132011-01-11T18:31:00.000-08:002011-01-11T19:12:38.116-08:00ที่มา ความหมายของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย<span class="fontbold"></span><br />
<div style="text-align: center;"><strong>ความหมายของอินเตอร์เน็ต</strong></div><div style="text-align: center;"><br />
</div> อินเตอร์เน็ต (Internet) นั้นย่อมาจากคำว่า “International network” หรือ “Inter Connection network” ซึ่งหมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดการสื่อสาร และการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน โดยอาศัยตัวเชื่อมเครือข่ายภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงเดียวกัน นั่นก็คือ TCP/IP Protocol ซึ่งเป็นข้อกำหนดวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย ซึ่งโปรโตคอลนี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ที่มีฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกันสามารถติดต่อถึงกันได้<br />
การที่มีระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายข่าวสารข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ โดยไม่จำกัดระยะทาง ส่งข้อมูลได้หลายรูปแบบ ทั้งข้อความตัวหนังสือ ภาพ และ เสียง โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนับเป็นอภิระบบเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่มาก มีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องทั่วโลกเชื่อมต่อกับระบบ ทำให้คนในโลกทุกชาติทุกภาษาสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องเดินทางไป โลกทั้งโลกเปรียบเสมือนเป็นบ้านหนึ่งที่ทุกคนในบ้านสามารถพูดคุยกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย แต่เกิดประโยชน์ต่อสังคมโลกปัจจุบันมาก<br />
<div style="text-align: center;"><strong>ประวัติความเป็นมาของอินเตอร์เน็ต</strong></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><strong> </strong>เครือข่ายอินเตอร์เน็ตถือกำเนิดมาในยุคสงครามเย็น ระหว่างสหรัฐกับรัฐเซีย ในปี ค.ศ. 1960 ซึ่งกระทรวงกลาโหมประเทศสหรัฐอเมริกาเห็นว่าระบบคอมพิวเตอร์สำหรับสั่งการต้องเป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานได้ตลอดเวลา หากมีการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูที่เมืองใดเมืองหนึ่ง ระบบคอมพิวเตอร์บางส่วนอาจถูกทำลาย แต่ส่วนที่เหลือทำงานได้ เป้าหมายการวิจัยและการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจึงกลายเป็นโครงการชื่อ ARPAnet หรือ Advance Research Project Agency net โดยมอบหมายให้กลุ่มมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ทำการวิจัยและเชื่อมโยงเครือข่าย<br />
ในปี ค.ศ. 1983 ได้มีการนำ TCP/IP Protocol หรือ Transmission Control Protocol มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเป็นครั้งแรก จนกรทั่งได้กลายเป็นมาตรฐานในการติดต่อในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมาจนถึงปัจจุบัน<br />
ในปี ค.ศ. 1986 มีการกำหนดชื่อโดเมน (Domain name System) เพื่อสร้างฐานข้อมูลในแต่ละเครือข่าย และใช้ ISP (Internet Service Provider) ในการจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง<br />
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ทั่วโลกล้วนแต่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงกว่าเดิม<br />
<div style="text-align: center;"><strong>อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย</strong><strong></strong></div> การเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตของประเทศไทยมีจุดกำเนิดมาจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระหว่างมหาวิทยาลัยที่เรียกว่า แคมปัสเน็ตเวิร์ก (Campus Network) ในปี พ.ศ. 2530 โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือ AIT ภายใต้ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย<br />
ในปี พ.ศ. 2531 ทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้ยื่นขอที่อยู่อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ซึ่งก็ได้รับที่อยู่ Sritrang.psu.th ซึ่งเป็นที่อยู่อินเตอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย<br />
หลังจากนั้นก็ได้มีการใช้งานอินเตอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2535 โดยสถาบันวิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เช่าวงจร สื่อสารความเร็ว 9,600 บิตต่อวินาที จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย<br />
<br />
<a href="http://www.kruyoon.com/index.php?option=com_content&view=article&id=9:2010-01-31-13-23-44&catid=1:2010-01-27-15-31-00">http://www.kruyoon.com/index.php?option=com_content&view=article&id=9:2010-01-31-13-23-44&catid=1:2010-01-27-15-31-00</a><br />
<br />
<br />
<a href="http://www.blogger.com/" name="ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต"></a>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-25403887265851055002011-01-04T20:09:00.000-08:002011-01-04T20:10:21.411-08:00หมีพู4.เครือข่ายอินเทอร์เน็ตอินทราเน็ตและเอ็กซ์ทราเน็ต<br />
<strong>อินเทอร์เน็ต</strong> (Internet) หมายถึง <a href="http://www.azizstan.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=228&Itemid=77" title="เครือข่ายคอมพิวเตอร์"><u><span style="color: #537244;">เครือข่ายคอมพิวเตอร์</span></u></a>นานาชาติ ที่มีสายตรงต่อไปยังสถาบันหรือหน่วยงานต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทั่วโลก. ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ทางอีเมล สามารถสืบค้นข้อมูลและสารสนเทศ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้. อย่างไรก็ตาม มีผู้เปรียบเทียบว่า อินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนทางหลวงระหว่างประเทศ แต่ละประเทศจะต้องมีถนนเข้ามาเชื่อมต่อเข้าไปในประเทศ กล่าวคือ จะต้องมีเครือข่ายภายในรับช่วงต่ออีกทอดหนึ่ง (เช่น เครือข่ายภายในมหาวิทยาลัย, องค์กร หรือเครือข่ายของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) มิฉะนั้นก็จะใช้ไม่ได้ผล<br />
<strong>อินเทอร์เน็ตวันนี้</strong><br />
<div align="center"><br />
</div><div align="center" style="text-align: left;"> โลกวันนี้ได้มาถึงจุดเลี้ยวต่อที่วัฒนธรรมได้หักมุมจากสังคม ที่แต่เดิมมีศูนย์กลาง อยู่ที่เครือ ข่าย วิทยุ ทีวีและโทรศัพท์มาสู่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่อุดมไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งผลักดัน ให้ สังคม ก้าวสู่สังคมดิจิทัล (Digital Society) โดยทุกวันนี้ทั่วโลกมีมนุษย์ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ประมาณ 200 ล้านคน หรือร้อยละ 3.2 ของประชากรโลกเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาแห่งเดียว มีผู้ใช้ถึง 80 ล้านคน (ประมาณร้อยละ 29 ของพลเมืองสหรัฐอเมริกา) จากข้อมูลการสำรวจผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ของชาวอเมริกัน พบว่าหนึ่งในสามของชาวอเมริกันใช้อินเทอร์เน็ตในการ จับจ่ายสินค้า ผ่านเน็ต ปรึกษาแพทย์ผ่านเน็ต ฟังการถ่ายทอดวิทยุผ่านเน็ต ลงทุนผ่านเน็ต จำนองบ้านผ่านเน็ต ติดตาม การขนส่งพัสดุผ่านเน็ต รับทราบข่าวผ่านเน็ต สนทนาโทรศัพท์ผ่านเน็ต รวมทั้งทำกิจกรรม การ เมือง ผ่านเน็ต และแม้กระทั่งสื่อสารรักกันผ่านเน็ต</div><div align="center" style="text-align: left;">อินทราเน็ต (intranet) </div><div align="center" style="text-align: left;"> คือ ระบบ<a href="http://www.blogger.com/" target="_self"><span style="color: #537244;">เครือข่ายคอมพิวเตอร์</span></a>แบบภายในองค์กร ใช้เทคโนโลยี<a href="http://www.blogger.com/" target="_self"><span style="color: #537244;">อินเทอร์เน็ต</span></a> ในการใช้งานอินทราเน็ตจะต้องใช้<a href="http://www.blogger.com/" target="_self"><span style="color: #537244;">โปรโตคอล</span></a> IP เหมือนกับอินเทอร์เน็ต สามารถมี<a href="http://www.blogger.com/" target="_self"><span style="color: #537244;">เว็บไซต์</span></a>และใช้<a href="http://www.blogger.com/" target="_self"><span style="color: #537244;">เว็บเบราว์เซอร์</span></a>ได้เช่นกัน รวมถึง<a href="http://www.blogger.com/" target="_self"><span style="color: #537244;">อีเมล</span></a> ถ้าเราเชื่อมต่ออินทราเน็ตของเรากับอินเทอร์เน็ต เราก็สามารถใช้ได้ทั้ง อินเทอร์เน็ต และ อินทราเน็ต ไปพร้อม ๆ กัน แต่ในการใช้งานนั้นจะแตกต่างกันด้านความเร็ว ในการโหลดไฟล์ใหญ่ ๆ จากเว็บไซต์ในอินทราเน็ต จะรวดเร็วกว่าการโหลดจากอินเทอร์เน็ตมาก ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากอินทราเน็ต สำหรับองค์กรหนึ่ง คือ สามารถใช้ความสามารถต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ</div><div align="center" style="text-align: left;"> เวลาที่มีการเชื่อมต่ออินทราเน็ตเข้ากับอินเทอร์เน็ต มักมีการติดตั้ง<a href="http://www.blogger.com/" target="_self"><span style="color: #537244;">ไฟล์วอล</span></a>สำหรับควบคุมการผ่านเข้าออกของข้อมูล ผู้ดูแลด้านความปลอดภัยในองค์กร สามารถควบคุมและจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตบางประเภท เช่น ไม่ให้เข้าไปยัง<a href="http://www.blogger.com/" target="_self"><span style="color: #537244;">เว็บไซต์</span></a>ลามก หรือตรวจสอบว่าผู้ใช้รายไหนพยายามเข้าไปเว็บดังกล่าว เป็นต้น นอกเหนือจากนี้ ไฟล์วอลยังป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกจากอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในองค์กร นอกเหนือไปจาก<a href="http://www.blogger.com/" target="_self"><span style="color: #537244;">เซิร์ฟเวอร์</span></a>สำหรับให้บริการซึ่งผู้บริหารเครือข่ายได้กำหนดไว้</div><div align="center"><br />
</div><div align="center" style="text-align: left;"><strong>เอกซ์ทราเน็ต</strong><br />
<div style="text-align: left;"><strong> </strong> เครือข่ายภายนอกองค์กร หรือ เอกซ์ทราเน็ต (Extranet) คือระบบเครือข่ายซึ่งเชื่อมเครือข่ายภายในองค์กร หรือ อินทราเน็ต (Intranet) เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายนอกองค์กร เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ของสาขาของผู้จัดจำหน่าย หรือของลูกค้า เป็นต้น โดยการเชื่อมต่อเครือข่ายอาจเป็นได้ทั้งการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่าง 2 จุด หรือการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายเสมือน (Virtual Network) ระหว่างระบบอินทราเน็ตหลาย ๆ เครือข่ายผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้ </div><div style="text-align: left;"> ระบบเครือข่ายแบบเอกซ์ทราเน็ต โดยปกติแล้วจะอนุญาตให้ใช้งานเฉพาะสมาชิกขององค์กร หรือผู้ที่ได้รับสิทธิในการใช้งานเท่านั้น โดยผู้ใช้จากภายนอกที่เชื่อมต่อเข้ามาผ่านเครือข่ายเอกซ์ทราเน็ต อาจถูกแบ่งเป็นประเภท ๆ เช่น ผู้ดูแลระบบ สมาชิก คู่ค้า หรือผู้สนใจทั่วๆ ไป เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้แต่ละกลุ่มจะได้รับสิทธิในการเข้าใช้งานเครือข่ายที่แตกต่างกันไป<br />
<br />
<a href="http://www.azizstan.ac.th/th/index.php?option=com_content&view=article&id=227:--&catid=66&Itemid=109"><strong>http://www.azizstan.ac.th/th/index.php?option=com_content&view=article&id=227:--&catid=66&Itemid=109</strong></a></div></div>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-51688671693180975922011-01-04T20:02:00.000-08:002011-01-04T20:02:36.069-08:00หมีพู3.หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-16125998026155935822011-01-04T19:55:00.000-08:002011-01-04T19:56:03.595-08:00หมีพู2. ประเภทของคอมพิวเตอร์และรูปแบบการประมวลผลข้อมูล<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New";"><span style="text-decoration: underline;"></span></span><br />
<small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"> <big style="color: #003333;"><big>ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามหลักการประมวลผลจำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ</big></big></span></span></small> <br />
<div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300;"> <big>คอมพิวเตอร์แบบแอนะล็อก (</big></span><big><span style="color: #993300;">Analog Computer)</span></big></span></span></small></div><div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="color: black;"><big><span style="font-weight: normal;"> <span style="color: #999900;">หมายถึง เครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการวัด (Measuring Principle) ทำงานโดยใช้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกลหน้าปัทม์ และเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทัดการวัดค่าความร้อนจากการขยายตัวของปรอทเปรียบเทียบกับสเกลข้างหลอดแก้ว</span> </span><br style="color: #999900; font-weight: normal;" /><span style="color: #999900; font-weight: normal;">นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ที่ใช้การประมวลผลแบบเป็นขั้นตอน เช่น เครื่องวัดปริมาณการใช้น้ำด้วยมาตรวัดน้ำ ที่เปลี่ยนการไหลของน้ำให้เป็นตัวเลขแสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็วของรถยนต์ในลักษณะเข็มชี้ หรือเครื่องตรวจคลื่ยสมองที่แสดงผลเป็นรูปกราฟ เป็นต้น</span></big></span></small> <br />
<div style="color: #999900;"></div></div><div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="color: black;"><big><span lang="TH" style="color: #993300;"> คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล (</span><span style="color: #993300;">Digital Computer)</span></big></span></small></div><div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="color: black;"><big><span style="font-weight: normal;"> <span style="color: #999900;">ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงานทั่วๆ ไปนั่นเอง เป็นเครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการนับทำงานกับข้อมูลที่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital Signal อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลที่เป็นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter) ภายใต้ระบบฐานเวลามาตรฐาน ทำให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็นทศนิยมได้หลายตำแหน่ง เป็นต้น</span> </span><span style="color: #999900; font-weight: normal;">เนื่องจาก Digital Computer ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้า (มนุษย์สัมผัสไม่ได้) ทำให้ไม่สามารถรับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต้นทางได้โดยตรง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนข้อมูลต้นทางที่รับเข้า (Analog Signal) เป็นสัญญาณไฟฟ้า (Digital Signal) เสียก่อน เมื่อประมวลผลเรียบร้อยแล้วจึงเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้ากลับไปเป็น Analog Signal เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ต่อไป</span><br style="color: #999900; font-weight: normal;" /><span style="color: #999900; font-weight: normal;">โดยส่วนประกอบสำคัญที่เรียกว่า ตัวเปลี่ยนสัญญาณข้อมูล (Converter) คอยทำหน้าที่ในการเปลี่ยนรูปแบบของสัญญาณข้อมูล ระหว่าง Digital Signal กับ </span></big><big style="color: #999900;"><span style="font-weight: normal;">Analog Signal</span></big></span></small> <br />
<div style="color: #999900;"></div></div><div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="color: black;"><big><span lang="TH" style="color: #993300;"> คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (</span><span style="color: #993300;">Hybrid Computer)</span></big></span></small></div><div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="color: black;"><big><span style="font-weight: normal;"> <span style="color: #999900;">เครื่องประมวลผลข้อมูลที่อาศัยเทคนิคการทำงานแบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยทั่วไปมักใช้ในงานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Computer ควบคุมการหมุนของตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการคำนวณระยะทาง เป็นต้น</span> </span><br style="color: #999900; font-weight: normal;" /><span style="color: #999900; font-weight: normal;">การทำงานแบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ ยังคงจำเป็นต้องอาศัยตัวเปลี่ยนสัญญาณ (Converter) เช่นเดิม</span></big></span></small> <br />
<div style="color: #999900;"></div></div><small><br style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;" /><br style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;" /><br style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;" /><span style="color: black;"></span></small><br />
<div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH"> <span style="color: #003333;">ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน</span></span><small style="color: #003333;"><small><small><small><small><small><small><span lang="TH" style="font-weight: bold;">จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ</span></small></small></small></small></small></small></small><span style="color: #003333;"></span><br />
<small><small><small style="font-weight: normal;"><small><span lang="TH" style="color: #993300;"></span></small></small></small></small></span></span></small></div><div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><small><small><small style="font-weight: normal;"><small><span lang="TH" style="color: #993300;"> เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานเฉพาะกิจ (</span><span style="color: #993300;">Special Purpose Computer)</span></small></small></small></small></span></span></small></div><div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;"> <span style="color: #999900;">หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่องและโปรแกรมควบคุมให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุมหรืองานอุตสาหกรรมที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็วเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟท์หรือคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบอัตโนมัติในรถยนต์ เป็นต้น</span></span><span style="color: #999900;"></span><br />
<small><small><span lang="TH" style="color: #993300;"></span></small></small></span></span></small></div><div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><small><small><span lang="TH" style="color: #993300;"><small> เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานอเนกประสงค</small>์ <small>(</small></span><small><small><small><small><small><small><span style="color: #993300;"><small>General Purpose Computer)</small></span></small></small></small></small></small></small></small></small></span></span></small></div><div style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;"> <span style="color: #999900;">หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexible) โดยได้รับการออกแบบให้สามารถประยุกต์ใช้ในงานประเภทต่างๆ ได้โดยสะดวกโดยระบบจะทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาและเมื่อผู้ใช้ต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอะไรก็เพียงแต่ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งานโดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ เช่นในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่องนี้ในงานประมวลผลเกี่ยวกับระบบบัญชีและในขณะหนึ่งก็สามารถใช้ในการออกเช็คเงินเดือนได้ เป็นต้น</span></span> </span></span></small></div><small><br style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;" /><br style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;" /><br style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;" /><span style="color: black;"></span></small><br />
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><big><big><big> <span style="color: #003300;">ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามความสามารถของระบบ</span></big></big></big><span style="color: #003300;"></span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #003300; font-weight: normal;"> จำแนกออกได้เป็น 4 ชนิด โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการเก็บข้อมูล และ ความเร็วในการประมวลผล เป็นหลัก ดังนี้</span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300;"> ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (</span><span style="color: #993300;">Super Computer)</span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;"> <span style="color: #999900;">หมายถึงเครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงที่สุดโดยทั่วไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการประมวลผลซับซ้อนและต้องการความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่อสารดาวเทียม หรืองานพยากรณ์อากาศ เป็นต้น</span></span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300;"> เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (</span><span style="color: #993300;">Mainframe Computer)</span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;"> <span style="color: #999900;">หมายถึงเครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีส่วนความจำและความเร็วน้อยลงสามารถใช้ข้อมูลและคำสั่งของเครื่องรุ่นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากนั้นยังสามารถทำงานในระบบเครือข่าย (Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องปลายทาง (Terminal) จำนวนมากได้ สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเครื่องชนิดนี้นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่มีราคาตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาทตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ คอมพิวเตอร์ของธนาคารที่เชื่อมต่อไปยังตู้ ATM และสาขาของธนาคารทั่วประเทศนั่นเอง</span></span><span style="color: #999900;"> </span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300;"> มินิคอมพิวเตอร์ (</span><span style="color: #993300;">Mini Computer)</span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;"> <span style="color: #999900;">ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซึ่งมีราคาแพงผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่าเครื่องมินิคอมพิวเตอร์โดยมีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูลสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ</span></span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300;"> ไมโครคอมพิวเตอร์ (</span><span style="color: #993300;">Micro Computer)</span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="background-color: #ffccff; font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;"> <span style="color: #999900;">หมายถึงเครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็กมีส่วนของหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุดสามารถใช้งานได้ด้วยคนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (</span></span><span style="color: #999900;"><span style="font-weight: normal;">Personal Computer : PC)</span></span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;"><span style="color: #999900;">ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมากอาจเท่ากับหรือมากกว่าเครื่องเมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากนั้นยังราคาถูกลงมากดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้มาก ทั้งตามหน่วยงานและบริษัทห้างร้าน ตลอดจนตามโรงเรียนสถานศึกษา และบ้านเรือนบริษัทที่ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ออกจำหน่ายจนประสบความสำเร็จเป็นบริษัทแรก คือบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร</span>์</span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH"> <span style="color: #996633;">เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จำแนกออกได้เป็น </span></span><span lang="TH" style="color: #996633;">2 ประเภทใหญ่ๆ คือ</span></span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="color: #999900; font-family: Tahoma; font-weight: bold; margin-left: 36pt; text-indent: -18pt;"><small><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;">1.</span><span lang="TH" style="font-weight: bold;"><span style="font-size-adjust: none; font-stretch: normal; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span><span lang="TH" style="font-weight: normal;">แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงาน</span><span lang="TH" style="font-weight: bold;"> </span><span lang="TH" style="font-weight: normal;">(</span>Desktop Computer) </span></span></small></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt; text-indent: -18pt;"><span style="font-family: Tahoma;"><small style="color: #999900;"><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span style="font-weight: bold;">2.<span style="font-size-adjust: none; font-stretch: normal; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span>แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติดตัวอาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของการใช้งานว่า Laptop Computer หรือ </span><span style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;">Notebook Computer</span></span></span></small></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt; text-indent: -18pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt; text-indent: -18pt;"><span style="font-family: Tahoma;"><small style="color: #999900;"><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma; font-weight: bold;"><a href="http://pirun.ku.ac.th/~b4904281/page3.html">http://pirun.ku.ac.th/~b4904281/page3.html</a></span></span></span></small></span></div>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-60201752551801133052011-01-04T19:48:00.000-08:002011-01-04T20:13:38.949-08:00หมีพู<div class="wpcpdCSS" id="csuid2_wpcpcd"><strong>1.ความหมายและโครงสร้างของเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์</strong></div><div class="wpcpdCSS"> ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร ์ หมายถึง ระบบที่เกิดจากการนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ พรินเตอร์หรือฮับมาต่อเชื่อมกันโดยใช้สื่อ ( Transmmission media ) <br />
เช่น สายเคเบิลชนิดต่างๆ หรือคลื่นวิทยุ อินฟาเรด โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ <br />
ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร ์ <br />
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มี 2 ประเภท โดยแยกตามขนาดหรือระยะทาง ได้แก่<br />
1. ระบบเครือข่ายประเภท WAN ( Wide Area Network ) เป็นระบบที่ใช้การเชื่อมอุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลมากๆเข้าด้วยกัน เช่นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่อยู่คนละจังหวัด<br />
2. ระบบเครือข่ายประเภท LAN (Local Area Network ) เป็นระบบที่ใช้เชื่อมอุปกรณ์ที่อยู่ภายในสำนักงานหรือสถานที่เดียวกันเข้าด้วยกัน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในโรงเรียน<br />
หรือในสถานที่ทำงานแห่งเดียวกัน <br />
<br />
โครงสร้างของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร ์ <br />
<br />
โครงสร้างของเครือข่าย แบ่งตามลักษณะการเชื่อมต่อทางกายภาพระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในระบบ แบ่งโครงสร้างออกเป็น 4 แบบ คือ<br />
1. โครงสร้างแบบสตาร์ (Star Network)<br />
2. โครงสร้างแบบบัส ( Bus Network )<br />
3. โครงสร้างแบบริง ( Ring Network )<br />
4. โครงสร้างแบบผสม ( Hybrid Network )<br />
<br />
<a href="http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=1be768af1a9c0c69">http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=1be768af1a9c0c69</a></div><div class="wpcpfCSS"></div>หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4096854746042808600.post-10457502536502445262011-01-04T19:37:00.000-08:002011-01-04T20:11:44.379-08:00หมีพูน.ส.นิภา สุวรรณโณ 5232011212 <br />
น.ส.วาสนา ควรชื่นใจ5232011230<br />
น.ส.สุพัชชา อินพะหะ 5232011235<br />
น.ส.สุพัตรา ทัพงาม 5232011236<br />
สบช.2/2หมีพูhttp://www.blogger.com/profile/04795489719878739874noreply@blogger.com0